ไมค์ ไทสัน และ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ สองตำนานกำปั้นโลก เตรียมดวลไฟต์พิเศษปีหน้า แฟนมวยจับตา 5 ประเด็นเด็ด ตั้งแต่เส้นทางอาชีพ สไตล์การชก ไปจนถึงคำถามใครคือตำนานที่เก่งกว่ากัน
ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กับ ไมค์ ไทสัน 2 ตำนานของวงการมวย ทำข้อตกลงที่จะขึ้นชกกันในไฟต์พิเศษภายในปีหน้า โดยการชกครั้งนี้แฟนกำปั้นโลกรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ เพราะจะเห็นสุดสองยอดมวยแห่งยุคซึ่งอายุรวมกัน 107 ปี
สำหรับไฟต์หยุดโลกของคนวัยดึกยังไม่มีการประกาศวันหรือสถานที่สำหรับการชก แต่เชื่อกันว่าทุกฝ่ายเล็งที่จะให้ไฟต์มีขึ้นภายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ โดยผลการแข่งขันในไฟต์นี้จะไม่ถูกนับเป็นสถิติอย่างเป็นทางการของทั้งคู่
ไทสัน และ "เดอะ มันนี่" เติบโตในยุคสมัยที่แตกต่างกันและมีเส้นทางอาชีพที่ตรงข้ามกันอย่างมาก โดยการชกโชว์ครั้งนี้ไม่น่าจะช่วยไขข้อถกเถียงในตำนานว่าใครเก่งกว่ากันได้ แต่จะเป็นการสร้างรายได้มหาศาลให้กับทั้งคู่มากกว่า
เพื่อเป็นการต้อนรับไฟต์ที่น่าตื่นเต้นที่กำลังจะมีขึ้นในปีหน้า งานนี้ก็เลยขอใช้โอกาสในการเปรียบเทียบผลงานของ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กับ "มฤตยูดำ" เพื่อให้คอมวยในยุคปัจจุบันได้เห็น ก่อนที่จะได้ชมการฟาดปากของ 2 ตำนานที่ยังมีลมหายใจ
1.จุดเริ่มต้น
ก่อนที่ ไทสัน จะเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็สร้างความหวาดกลัวให้คู่แข่งแล้ว ด้วยข่าวลือว่าเขาสามารถน็อกผู้ใหญ่ในการซ้อมลงนวม หรือ สปาร์ริง (Sparring) ได้
ไทสัน สร้างผลงานในระดับสมัครเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม โดยคว้าเหรียญเยาวชนโอลิมปิกและแชมป์ระดับชาติ ก่อนจะเข้าสู่อาชีพนักมวยเมื่ออายุ 18 ปี ภายในเวลา 2 ปี เขากลายเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทที่อายุน้อยที่สุดตลอดกาล ด้วยการน็อก เทรเวอร์ เบอร์บิก เมื่อปี 1986 ในวัย 20 ปี 4 เดือน เท่านั้น
ขณะที่ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เติบโตมาจากครอบครัวนักมวยขนานแท้ พ่อของเขาก็คือ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ ซึ่งเป็นนักมวยอาชีพ ส่วนลุงของเขา เจฟฟ์ กับ โรเจอร์ เคยคว้าแชมป์โลกมาแล้ว
ตอนที่ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ อายุเพียง 16 ปี พ่อของเขาถูกจำคุกฐานค้ายาเสพติด อย่างไรก็ตาม เขาก็สามารถผ่านคุณสมบัติและเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนต้า ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้
สำหรับผลงานในตอนนั้น "เดอะ มันนี่" แพ้ในรอบรองชนะเลิศ และทำให้เขาได้เพียงเหรียญทองแดง ในศึกแอตแลนต้า เกมส์ ก่อนที่จะเทิร์นโปรในปีนั้นเลย ภายในระยะเวลา 2 ปี กับการขึ้นชก 18 ไฟต์ เขาก็ขึ้นเป็นแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์เฟเธอร์เวท
2. ยุครุ่งเรืองสุดขีด
"ไอรอน ไมค์" มีเส้นทางในวงการมวยแบบเขย่งก้าวกระโดดโดยเขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของวงการกำปั้นโลกอย่างรวดเร็ว แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมส่วนตัว
หลังจากครองเข็มขัดแชมป์มวยโลกรุ่นยักษ์มาได้ 4 ปี และผ่านการสร้างรายได้หลายล้านดอลลาร์ ไทสัน กลับพ่ายแพ้แบบช็อกโลกให้กับ เจมส์ "บัสเตอร์" ดั๊กลาส ที่ถูกมองว่าเป็นรอง 42-1 ที่โตเกียวโดม ประเทศญี่ปุ่น
อย่างไรก็ตาม ไทสัน กลับมาเรียกศรัทธาได้อีกครั้งด้วยชัยชนะ 4 ไฟต์ แต่เขาโดนจับยัดเข้าซังเตในปี 1992 จากคดีข่มขืน โดยต้องเข้าไปนอนกินข้าวแดงเป็นเวลา 3 ปีจากโทษจำคุกทั้งหมด 6 ปี
"มฤตยูดำ" ได้รับการปล่อยตัวสู่โลกภายนอกในปี 1995 จากนั้นก็กลับมาคว้าแชมป์โลกในปีนั้นหลังจัดการน็อก แฟร้งค์ บรูโน่ ในยกสาม จากการชกครั้งที่สองระหว่างทั้งคู่
กระนั้น ไทสัน ไม่เคยกลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อเขาพ่ายให้กับ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ ถึงสองครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่สองในปี 1997 เขาเป็นข่าวฉาวกัดหู "เรียล ดีล" ก่อนจะถูก เลนน็อกซ์ ลูอิส น็อกเอาต์ ในปี 2002
เส้นทางอาชีพของ ไทสัน จบลงอย่างน่าผิดหวัง หลังจากแพ้ให้ แดนนี่ วิลเลี่ยมส์ และ เควิน แม็คไบรด์ ทั้งสองครั้ง เป็นการปิดฉากอาชีพที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนที่สุดครั้งหนึ่งของวงการมวย
สำหรับ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นเรื่องยากที่จะระบุช่วงเวลาที่เขาอยู่ในฟอร์มสูงสุดได้อย่างชัดเจน เพราะนี่คือนักมวยที่ครองความเป็นเลิศ และเหนือชั้นในทุกช่วงของอาชีพการค้ากำปั้นอย่างแท้จริง
เขาผ่านการชกในรุ่น 126-140 ปอนด์ได้อย่างสุดยอด โดยแทบไม่ต้องออกแรงให้เสียเหงื่อมากนัก จนทำให้ตอนนั้นเจ้าตัวได้รับฉายาสุดเท่ว่า "พริตตี้ บอย" เพราะไม่มีนักมวยคนไหนที่จะทำให้เจ้าตัวมีบาดแผลหรือระคายผิวในการชก
หลังจากขยับขึ้นไปชกรุ่นเวลเตอร์เวท พร้อมกับฉายาใหม่ "เดอะ มันนี่" เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ก็กลายเป็นดาวเด่นที่สุดของวงการมวย ด้วยชัยชนะอันโดดเด่นเหนือ แซ็บ จูดาห์, ริคกี้ แฮตตัน และ เชน มอสลี่ย์
"เดอะ มันนี่ ยังท้าทายตัวเองด้วยการขยับขึ้นไปชกรุ่นไลต์มิดเดิลเวท ซึ่งน้ำหนักยังไม่เกิน 154 ปอนด์ เพื่อคว้าชัยชนะอันเป็นตำนานเหนือ ออสการ์ เดอ ลา โฮย่า, มิเกล ค็อตโต้ และ คาเนโล่ อัลวาเรซ
เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยังคงเป็นนักมวยที่ไม่มีใครสามารถล้มเขาได้ แม้เข้าสู่ช่วงอายุ 30 ปลายๆ แล้วก็ตาม โดยเขาเอาชนะ แมนนี่ ปาเกียว เมื่อปี 2015 ในการชกที่ทำเงินสูงที่สุดของวงการมวย มูลค่า 500 ล้านปอนด์ (ราว 22,000 ล้านบาท)
ท้ายที่สุดเมื่อไม่มีคู่ต่อกร เจ้าตัวก็ตัดสินใจแขวนนวมในปี 2017 หลังจากการขึ้นชกข้ามสายกับ คอนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดมวยจากยูเอฟซี (UFC) ซึ่งทำเงินให้เขาอีก 250 ล้านปอนด์ (ราว 11,000 ล้านบาท) เลยทีเดียว
3. หวนคืนสังเวียน
ไทสัน กลายเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมยอดนิยม (Pop culture) หลังจากเลิกชก โดยปรากฏตัวในภาพยนตร์อย่าง "The Hangover" และหันไปทำธุรกิจที่ถนัดนั่นก็คือการสร้างอาณาจักรกัญชาเป็นของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม "ไอรอน ไมค์" หวนกลับมาสวมนวมอีกครั้งในปี 2020 ในการชกโชว์โดยเป็นการฟาดปากกับ รอย โจนส์ จูเนียร์ ตำนานสุดยอดนักมวยชื่อก้องโลกอีกคน และการชก 8 ยกจบลงด้วยผลเสมอแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
สี่ปีต่อมา ไทสัน ประกาศเรื่องสุดเซอร์ไพรส์ด้วยการกลับมาชกมวยอาชีพอีกครั้งโดยเป็นการดวลกับ เจค พอล กำปั้นสายยูทูบเบอร์ หลังสู้กันครบ 8 ยกยกละ 2 นาที "มฤตยูดำ" แพ้คะแนนแบบเอกฉันท์ให้กับคู่ต่อกรรุ่นลูก โดยไฟต์นี้มีผู้ชมกว่า 100 ล้านคนทาง "เน็ตฟลิกซ์" (Netflix)
ด้าน เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ได้ชกในแมตช์โชว์หลายไฟต์กับเหล่าดาวดังจากวงการมวย, เอ็มเอ็มเอ (MMA) และโซเชียลมีเดีย รวมถึง โลแกน พอล พี่ชายซึ่งเป็นทั้งยูทูบเบอร์และนักมวยปล้ำ ดับเบิ้ลยูดับเบิ้ลยูอี (WWE) ของ เจค พอล ด้วย
ไฟต์ล่าสุดของ "เดอะ มันนี่" เกิดขึ้นในเดือนสิงหาคม 2024 โดยเป็นการดวลกับ จอห์น ก็อตติ เดอะ เธิร์ด หลานชายของหัวหน้าแก๊งอาชญากรชื่อดังแห่งนิวยอร์กโดยชกครบยกและไม่มีผู้ชนะ
4. สไตล์การชกและสภาพร่างกาย
ไทสัน มีสไตล์การชกแบบมุดซ้ายมุดขวาและส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหาจังหวะโผล่ออกมาจากการ์ดแล้วซัดเปรี้ยง ซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นท่า "พิค-กะ-บู" (Peek-a-Boo) หรือหมัดซ่อนแอบ ! โดยเป็นที่จดจำที่สุดในประวัติศาสตร์มวย
ยุคฟอร์มพีคสุดขีด ไทสัน เต็มไปด้วยความเร็วและพลังที่สุดแสนน่ากลัว ซึ่งทำให้คู่ชกต้องเข็ดขยาดก่อนจะขึ้นเวทีด้วยซ้ำ โดยสถิติหลังจากที่จบอาชีพนักมวย สามารถน็อกคู่ต่อสู้ถึง 44 ครั้งจากการชกทั้งหมด 50 ไฟต์
สำหรับ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ มักถูกวิจารณ์ในเรื่องสไตล์ที่เน้นความปลอดภัยและการป้องกันตัว โดยมีชื่อเสียงจากการใช้เทคนิค "โชว์เดอร์โรล" ที่น่าทึ่งก็คือนี่คือนักมวยแทบไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการชกมากนักตลอดอาชีพของเขา
ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น "เดอะ มันนี่" เป็นนักชกที่รัวหมัดได้รวดเร็ว สามารถทำให้คู่ชกล้มและน็อกได้ตามต้องการ ด้วยความแม่นยำของหมัดทุกครั้งที่ปล่อยใส่คู่ต่อกร อย่างไรก็ตามการต้องขยับขึ้นมาชกในรุ่นน้ำหนักที่สูงกว่า และคู่ต่อสู้ที่ใหญ่กว่า เป็นสาเหตุให้เขาปรับเปลี่ยนมาใช้สไตล์เน้นระมัดระวังมากขึ้น
สำหรับไฟต์นี้มีความแตกต่างอย่างมากในเรื่องขนาดตัว และน้ำหนักระหว่างคู่ชก โดย ไทสัน สูง 5 ฟุต 10 นิ้ว หรือ 178 เซนติเมตร หนัก 16 สโตน (ราว 101.60 กิโลกรัม) ขณะที่ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ สูง 5 ฟุต 8 นิ้ว หรือ 173 เซนติเมตร และหนัก 11 สโตน (ราว 69.85 กิโลกรัม)
5. ใครเป็นตำนานที่เจ๋งกว่ากัน ?
หากมองในเรื่องความโด่งดัง ไม่มีใครเทียบ ไทสัน ได้เลย แต่ถ้าหากมองในแง่ของผลงานการที่ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น "นักมวยที่เก่งที่สุดตลอดกาล" มันย่อมมีเหตุผลรองรับแน่นอน
"ไอรอน ไมค์" เคยเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท 3 สถาบัน โดยไฟต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาได้แก่การชนะ เบอร์บิค, บรูโน่ และ ลาร์รี่ โฮล์มส์ แต่สำหรับไฟต์ที่ไม่น่าจดจำก็คือการดวลกับ โฮลีฟิลด์ กับ ลูอิส ซึ่งเขาแพ้เรียบวุธ
อย่างไรก็ตาม ด้วยสไตล์การชกที่ดุดันแบบเดินหน้าฆ่าลูกเดียวทำให้เป็นที่ชื่นชอบของแฟนมวยอย่างมาก แม้ผลการชกอาจจะออกมาไม่น่าประทับใจ หรือถึงขั้นแพ้ในบางไฟต์แต่ก็ได้ใจผู้ชมมากๆ
ส่วน "เดอะ มันนี่ " มักจะเอาชนะคู่ชกได้ไม่ยาก แต่คู่ต่อกรที่เขาปราบส่วนใหญ่ก็เป็นพวกแถวหน้าในวงการมวย อาทิเช่น ปาเกียว, เดอ ลา โฮย่า, ค็อตโต้, มอสลี่ย์ และ จูดาห์ เป็นต้น นอกจากนี้เจ้าตัวยังท้าทายการชกด้วยการแบกน้ำหนักข้ามรุ่น และโชว์ทักษะเหนือชั้นเอาคู่แข่งที่ใหญ่กว่า
ด้วยเหตุนี้ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นนักมวยที่เก่งที่สุดในโลกเมื่อเทียบกันแบบปอนด์ต่อปอนด์ และสถิติไร้พ่ายจนทุกวันนี้ เป็นเครื่องการันตีความเก่งฉกาจในการชกที่ใช้ทั้งมันสมองและพละกำลัง
𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄