"บีวายดี" (BYD) ประเทศไทย จับมือ "เรเว่ ออโตโมทีฟ" ย้ำคำมั่นเดินหน้าตามมาตรการ EV 3.0 เร่งผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ในโรงงานระยอง ชดเชยการนำเข้า พร้อมเผยมาตรการเงินอุดหนุน 1.5 แสนบาท จะสิ้นสุด ธ.ค. 68 ทำให้ราคาอาจปรับขึ้น
บีวายดี ออโต้ (ประเทศไทย) และ บริษัท เรเว่ ออโตโมทีฟ จำกัด ภายใต้กลุ่มธุรกิจ เรเว่ ในฐานะผู้จัดจำหน่ายรถยนต์พลังงานใหม่ บีวายดี และ เดนซ่า อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ได้ประกาศขานรับและยืนยันการดำเนินงานตาม มาตรการ EV 3.0 ของภาครัฐอย่างเต็มที่ โดยมีเป้าหมายในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยทั้งด้านการผลิตและการใช้งาน
ทั้งนี้ บริษัทได้ให้คำมั่นในการเร่งผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ภายในประเทศตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ณ โรงงานผลิตรถยนต์ในจังหวัดระยอง เพื่อชดเชยการนำเข้ารถยนต์ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้มาตรการดังกล่าว พร้อมทั้งสนับสนุนนโยบาย '30@30' ที่ตั้งเป้าให้ประเทศไทยผลิตรถยนต์ไร้มลพิษให้ได้ 30% ของการผลิตรวมทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030)
ปัจจุบัน โรงงานบีวายดี ประเทศไทย มีศักยภาพกำลังการผลิตสูงสุดที่ 150,000 คันต่อปี และจะผลิตรถยนต์พลังงานใหม่รวม 4 รุ่น ได้แก่ BYD DOLPHIN, BYD ATTO 3, BYD SEALION 6 DM-i และ BYD SEAL 5 DM-i พร้อมกันนี้ยังได้สร้างอัตราการจ้างงานให้กับแรงงานไทยรวม 6,100 ตำแหน่ง
นายประธานวงศ์ พรประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ เปิดเผยว่า "ในฐานะผู้นำยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศ เรเว่ มุ่งมั่นที่จะเดินหน้าตามมาตรการของรัฐ เพื่อส่งเสริมการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในไทยต่อไป ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์ชั้นนำในราคาที่เหมาะสม ซึ่งพิสูจน์แล้วจากยอดส่งมอบรถยนต์พลังงานใหม่ในไทยครบ 100,000 คัน"
ด้าน นางสาวประธานพร พรประภา รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจเรเว่ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังคงภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการลดมลพิษบนท้องถนนและร่วมส่งมอบยานยนต์พลังงานใหม่จาก บีวายดี ให้กับผู้บริโภคชาวไทยครบ 100,000 คัน ซึ่งมีส่วนช่วยสร้างอากาศสะอาดที่ยั่งยืน
สำหรับ มาตรการ EV 3.0 ที่มอบเงินอุดหนุนจากกรมสรรพสามิตเพื่อนำไปลดราคาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคนั้น จะสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568 โดยรถยนต์ BYD ที่ได้รับการสนับสนุนมูลค่า 150,000 บาทต่อคัน มี 2 รุ่น คือ BYD DOLPHIN และ BYD ATTO 3 ทาง เรเว่ คาดการณ์ว่าการสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ภาพรวมราคาจำหน่ายรถยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยกลับไปอยู่ในระดับปกติ หรืออาจสูงกว่าราคาปัจจุบันเล็กน้อย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการครอบครองรถยนต์ไฟฟ้า BYD ก่อนที่โครงสร้างราคาจะเปลี่ยนแปลงไปตามกลไกตลาด

