การท่าเรือ เอฟซี ภายใต้การนำทัพของ อเล็กซานเดร กามา กำลังค่อยๆ ฉายแสงออกมาให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน หลังแท็กติกที่เน้นความรัดกุมและมั่นคงของกุนซือชาวบราซิล เริ่มสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมในช่วงสามนัดที่ผ่านมา
แม้หลายคนจะมองว่า 'กามา สไตล์' ไม่ได้นิยมชมชอบเกมรุกแบบเต็มเหนี่ยว แต่ผลลัพธ์ของการแข่งขันคือสิ่งที่รับประกันถึงคุณภาพและสิ่งที่เขาต้องการได้เป็นอย่างดี
สำหรับ กามา นั้น เขาคือหนึ่งในโค้ชต่างชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในเมืองไทย อย่างไม่ต้องสงสัย กับการพา บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ทุกถ้วยในประเทศ วางรากฐานอันแข็งแกร่งให้กับ เชียงราย ยูไนเต็ด ก่อนที่กว่างโซ้งมหาภัยจะได้ชูโทรฟี่ ไทยลีก เมื่อซีซั่น 2019
ที่น่าทึ่งคือการฉุด ลำพูน วอริเออร์ ที่กำลังดิ่งเหวให้ลุกขึ้นใหม่ได้อย่างสง่าผ่าเผย โดยเฉพาะการพา "ราชันโคขาว" ทะลุเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วยเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์สโมสรได้เมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา ก่อนจะปราชัยให้กับทีมเก่าอย่าง "ปราสาทสายฟ้า" ไปแบบน่าเจ็บปวด
อย่างไรก็ตาม 9 นัดแรกในลีกสำหรับ การท่าเรือ นั้นอาจต้องยอมรับว่าทีมจูนเครื่องติดช้าไปหน่อย เพราะการพ่ายแพ้ไปแล้วถึง 3 เกม ทำให้โอกาสในการลุ้นแชมป์ลีกนั้นเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งสำคัญอย่าง บุรีรัมย์ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงสักนิด
แต่สิ่งที่เป็นสัญญาณอันตรายสำหรับคู่แข่งคือฟอร์มการเล่นใน 3 แมตช์หลังสุด ที่ "สิงห์เจ้าท่า" เก็บชัยชนะได้เรียบวุธ แถมไม่เสียแม้แต่ประตูเดียว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแท็กติกที่เริ่มเข้าที่เข้าทางของ กามา อย่างแท้จริง
หัวใจสำคัญที่ทำให้เกมของ การท่าเรือ มั่นคงขึ้นอย่างก้าวกระโดดคือความแข็งแกร่งในแผงหลัง
ผู้รักษาประตูอย่าง ไมเคิ่ล ฟัลเคสการ์ด แทบไม่ต้องออกแรงเซฟมากนักในช่วงนี้ อันเนื่องมาจากการสอดประสานอย่างลงตัวระหว่างคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟ พีฬาวัช อรรคธรรม และ เรบิน ซูลาก้า ที่แทบไม่เปิดโอกาสให้ฝั่งตรงข้ามได้สับไก
นอกเหนือไปกว่านั้น ฟูลแบ็กทั้งสองฝั่ง ศุภนันท์ บุรีรัตน์ กับ อัสนาวี มังกูอาลาม ก็มีสภาพร่างกายที่ฟิตเหลือเกิน วิ่งบี้ไม่มีหมดตลอด 90 นาที เติมเกมรุกก็สนุก หรือจะลงมาช่วยเกมรับก็ไม่มีหลุดตำแหน่ง
เสริมด้วย โนบูรุ ชิมูระ ที่คอยเก็บกวาดในแผงมิดฟิลด์ ร่วมกับ พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี ทำให้แผงหลังของ การท่าเรือ มีความมั่นคงเอามากๆ
สถิติ 3 นัดหลังสุดยืนยันสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเปิดโอกาสให้ฝั่งตรงข้ามยิงตรงกรอบรวมกันเพียง 5 หนเท่านั้น
โดยแบ่งเป็น พลังกาญจน์ เอฟซี 1 ครั้ง, นครราชสีมา เอฟซี 3 ครั้ง และ เมืองทอง ยูไนเต็ด เพียง 1 ครั้ง
ตัวเลขนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงเกมรับที่เหนียวแน่นดุจกำแพงหิน พอหลังบ้านแน่นหนา มันจึงทำให้การขับเคลื่อนเกมในแดนหน้าลื่นไหลไปด้วย
แนวรุกเริ่มทำงานประสานกันได้อย่างลงตัว โดยมี วรชิต กนิตศรีบำเพ็ญ ในบทบาทเพลย์เมเกอร์คอยสนับสนุนตำแหน่งกองหน้ากึ่งปีกอย่าง ลูคัส โตกันตินส์ และ กาก้า เมนเดส สองแข้งบราซิลที่ทำเกมริมเส้น
ส่วนหัวหอกตัวเป้า บรายัน เปเรอา เป็นตัวเลือกแรก โดยมี ธีรศักดิ์ เผยพิมาย เป็นเบอร์สองรองลงมา
นี่คือผังการเล่นที่นำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมใน 3 นัดหลังสุด ที่เก็บ 9 คะแนนเต็ม พร้อมซัดไป 11 ประตู และไม่โดนเจาะตาข่ายแม้แต่ลูกเดียว
หาก การท่าเรือ ยังคงรักษามาตรฐานการเล่นเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ รับประกันเลยว่า บุรีรัมย์ เองก็มีสะท้านและต้องเหลียวหลังมองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม โปรแกรมลีกอีก 6 นัดที่เหลือก่อนปิดเลกแรกนั้นจะเป็นบทพิสูจน์ที่แท้จริงว่าแท็กติกของ กามา จะไปได้ไกลเพียงใด เพราะแต่ละแมตช์นั้นยากๆ ทั้งนั้น
เริ่มตั้งแต่การบุกไปเยือน ลำพูน ในวันที่ 2 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นการพบกับทีมเก่า ตามด้วยการเปิดบ้านทำศึก ซูเปอร์ บิ๊ก แมตช์ กับ แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่น่าจะเป็นการชิงตำแหน่งรองจ่าฝูง
จากนั้นพวกเขาจะเผชิญหน้า เชียงราย (เหย้า), ประจวบ เอฟซี (เยือน), อุทัยธานี เอฟซี (เหย้า) และปิดท้ายเลกแรกกับเกมที่จะชี้วัดความเก่งกาจของ กามา อย่างแท้จริง นั่นคือการพบกับ บุรีรัมย์ ในวันที่ 14 ธันวาคม
แต่ไม่ว่าจะจบฤดูกาลนี้อย่างไร สิ่งที่เห็นชัดคือ 'ความเปลี่ยนแปลง'
การท่าเรือ กลับมาเล่นด้วยความเชื่อมั่น ระบบทีมที่เป็นรูปเป็นร่างและแนวทางที่แฟนฟุตบอลสัมผัสได้ถึงหัวใจแห่งความมุ่งมั่นที่หายไปนาน
เมื่อหลังบ้านแน่น เกมรุกมีไอเดีย และโค้ชเข้าใจฟุตบอลไทย อย่างแจ่มแจ้ง - ไม่แน่ว่าฤดูกาลนี้เราอาจได้เห็นสิงห์เจ้าท่ากลับมามีลุ้นยืนบนโพเดียมอีกครั้ง
สัญญาณอันตรายจาก แพท สเตเดี้ยม - เมื่อ 'กามา สไตล์' ได้เวลาสำแดงเดช!!