สถานการณ์ของ ลำพูน วอร์ริเออร์ส เข้าขั้นน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในศึก ไทยลีก 2025-26 หลังบุกไปปราชัยต่อ ราชบุรี เอฟซี แบบหมดรูป 0-5 เมื่อวันเสาร์ที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนปัญหาในเชิงแท็กติกและเกมรับเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความเปราะบางของทีมที่กำลังสูญเสียความมั่นใจไปทีละน้อย
ผ่าน 8 นัดของฤดูกาล ราชันโคขาวชนะเพียงเกมเดียว เสมอ 3 และแพ้ถึง 4 นัด มีเพียง 6 คะแนนในมือ และรั้งอันดับ 14 ของตาราง ซึ่งอยู่ในโซนตกชั้นแบบเต็มตัว
ความย่ำแย่นี้สวนทางกับภาพของ ลำพูน เมื่อฤดูกาลก่อนที่เต็มไปด้วยความเหนียวแน่นและเล่นด้วยหัวใจ
การอำลาทีมของ อเล็กซานเดร กามา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสโมสร เฮดโค้ชชาวบราซิล รายนี้ไม่ได้ทิ้งเพียงระบบการเล่นที่ชัดเจนไว้เท่านั้น แต่ยังสร้างรากฐานความเป็นทีมให้กับราชันโคขาวในระดับที่คู่แข่งต้องให้ความเคารพ
แม้จะไม่มีโทรฟี่ติดมือเหมือนสมัยคุม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด หรือ เชียงราย ยูไนเต็ด แต่สิ่งที่เขาทำไว้ชัดเจนคือการ 'ปลุกชีพ' ลำพูน ให้ยืนหยัดอยู่บนลีกสูงสุดได้อย่างสง่างาม
จากทีมที่ต้องหนีตกชั้นในฤดูกาล 2022-23 ก็ค่อยๆ พัฒนาจนกลายเป็นทีมที่มีโครงสร้างดีขึ้นเรื่อยๆ เกมรุกและเกมรับมีสมดุล นักเตะหลายคนพัฒนาจนก้าวไปติดทีมชาติไทย
ทั้ง อัครพงษ์ พุ่มวิเศษ และ อนันต์ ยอดสังวาลย์ ล้วนเป็นผลผลิตจากการปลุกปั้นของ กามา ทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังสร้างประวัติศาสตร์ทะลุเข้าชิงชนะเลิศ ลีก คัพ 2024-25 ได้เป็นครั้งแรกของสโมสร ก่อนจะพ่ายให้กับบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 0-2 อย่างสมศักดิ์ศรี ทั้งที่ต้องเหลือผู้เล่นเพียง 10 คนตั้งแต่นาทีที่ 5 ของการแข่งขัน
แต่หลังจากนั้นแยกทางกับ กามา ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป
วันแดร์เลย์ จูเนียร์ กลับมารับตำแหน่งกุนซืออีกครั้ง ชื่อของโค้ชรายนี้อาจเต็มไปด้วยความทรงจำดี เพราะเขาเคยพาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นใน ไทยลีก ได้สำเร็จเมื่อปี 2022-23
ทว่าครั้งใหม่กับสโมสรเก่า ผลงานกลับสวนทางกับความคาดหวังโดยสิ้นเชิง
ลำพูนภายใต้การคุมทีมของ วันแดร์เลย์ ชนะเพียงนัดเดียวจาก 8 เกม เสมอ 3 และแพ้ถึง 4 เกม พร้อมถูกยิงไปแล้วถึง 21 ประตู ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในลีก
หลังจบเกมบุกพ่าย ราชบุรี แบบยับเยิน สโมสรจึงตัดสินใจแยกทางกับเทรเนอร์ชาวบราซิล ทันที เพื่อหาทางรีเซ็ตทีมใหม่อีกครั้ง ทว่าจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่าใครจะเข้ามากอบกู้สถานการณ์ในรั้ว แม่กวง สเตเดี้ยม
คำถามใหญ่ที่แฟนฟุตบอลต่างรอคำตอบก็คือ “ใครจะมากู้ทีม - และเมื่อไหร่?”
เมื่อมองจากโปรแกรมที่เหลืออยู่ในเลกแรก ต้องยอมรับว่า 'สาหัสสากรรจ์' มากๆ
เริ่มตั้งแต่สัปดาห์หน้าที่ต้องบุกไปเยือน แบงค็อก ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นรองจ่าฝูง ก่อนจะกลับมาเปิดบ้านรับการมาเยือนของ การท่าเรือ เอฟซี ซึ่งคุมทัพโดยกุนซือคนเก่าอย่างกามา
จากนั้นยังต้องบุกไปเยือน ประจวบ เอฟซี ที่ สามอ่าว สเตเดี้ยม อีกหนึ่งทีมที่เล่นในบ้านได้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
แค่สามนัดนี้ก็แทบไม่มีพื้นที่ให้พลาด และอีกสี่เกมที่เหลือก่อนปิดเลกแรกก็ไม่ได้ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็น อุทัยธานี เอฟซี (เหย้า), อยุธยา ยูไนเต็ด (เยือน), ระยอง เอฟซี (เหย้า) และ เชียงราย ยูไนเต็ด (เยือน) ซึ่งล้วนเป็นทีมที่กำลังอยู่ในฟอร์มดีและมีแรงจูงใจสูงทั้งสิ้น
นั่นหมายความว่า หาก ลำพูน ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ในเร็ววัน พวกเขาอาจไม่มีแต้มมากพอจะหนีจากโซนอันตรายได้ทันเวลา
เมื่อย้อนดูสถิติย้อนหลัง 10 ฤดูกาล ทีมที่จะรอดพ้นจากการตกชั้นได้ ส่วนใหญ่ต้องมีแต้มเฉลี่ยอย่างน้อย 30 คะแนนต่อฤดูกาล (ยกเว้นปี 2018 ที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด มีถึง 42 คะแนนแต่ยังตกชั้น)
เท่ากับว่าจาก 7 นัดที่เหลือในเลกแรก ลำพูนต้องพยายามเก็บให้ได้อย่างน้อย 10 คะแนน เพื่อกลับมามีลมหายใจในเส้นทางหลีกหนีตั๋ว ไทยลีก 2
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของฤดูกาล พวกเขาจำเป็นต้องกลับมาสู้ด้วยหัวใจ เล่นทุกเกมราวกับเป็นนัดชิงชนะเลิศของชีวิต เพราะในโลกฟุตบอล ไม่มีใครรอใคร ทีมที่ไม่ปรับ ไม่เปลี่ยน ย่อมถูกทิ้งไว้ข้างหลังเสมอ
ในวันนี้ราชันโคขาวต้องเลือกว่าจะยอมรับชะตากรรมหรือลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเองและแฟนๆ ที่ยังเชื่อมั่นในพวกเขา