SIAMSPORT: น้องใหม่ ไทยลีก
ฆัวกิน โกเมซ กุนซือผู้กอบกู้ของ พลังกาญจน์
ในความแพ้พ่ายต่อ การท่าเรือ เอฟซี แบบเละเทะ 0-8 อาจจะสร้างความหม่นหมอง แต่ยังมีเรื่องราวที่ทำให้แฟนๆ ของ พลังกาญจน์ เอฟซี พอจะชุ่มชื่นขึ้นนิดๆ เพราะพวกเขากำลังจะได้ 'เฮดโค้ช' คนใหม่ ผู้มาพร้อมโปรไฟล์ที่น่าสนใจ
ฆัวกิน โกเมซ บลาสโก้ กุนซือวัย 39 ปี ชมเกมอยู่บนอัฒจันทร์ แพท สเตเดี้ยม อยู่ด้วย
เทรนเนอร์หนุ่มรายนี้มีเส้นทางการเป็นโค้ชที่น่าจับตามองมากๆ เนื่องจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นไม่เบาทีเดียว
จากหมู่บ้านเล็กๆ โซตีโญ่ (Sotillo) ในจังหวัด อาบีญ่า (Ávila) ของประเทศสเปน เขาเดินทางจากการคุมทีมระดับท้องถิ่น ไปสู่สนามฝึกซ้อมของสโมสรอังกฤษ จนถึงงานทีมชาติฟินแลนด์ และล่าสุดกับบทบาทที่น่าตื่นใจกับ พลังกาญจน์
เส้นทางของเขาสะท้อนทั้งความขยัน, ความยืดหยุ่นทางความคิดและการเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง
[ 1 ] โซตีโญ่, การศึกษาและโค้ชยุคใหม่
ฆัวกิน เกิดที่ โซตีโญ่ ในจังหวัด อาบีญ่า ของสเปน ซึ่งก็แน่นอนว่าในวัยเด็ก เจ้าตัวปรารถนาที่จะเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้ในวันหนึ่งวันใด
อย่างไรก็ตาม เขาพยายามอย่างหนัก แต่ด้วยความที่มันยังดีไม่พอ ก็เลยตัดสินใจหันเหไปเอาดีทางด้านโค้ช
“เหมือนโค้ชหลายๆ คน ความรักในกีฬาลูกหนังมันเริ่มจากการได้เล่นฟุตบอลก่อน ผมเล่นในระดับ กาสตีญ่า เลออน (Castilla León) หรือลีกภูมิภาคของสเปน แต่เมื่ออายุราวๆ 20 ผมก็เริ่มรู้ตัวเองแล้วว่าคงไปไม่ถึงทางที่ต้องการในฐานะนักเตะ ก็เลยเริ่มสนใจอีกด้านแทน” ฆัวกิน เผยผ่านเว็บไซต์ กาสตีญ่าอีลีออนเดปอร์ต (www.castillayleonesdeporte.com)
เขาเลือกเส้นทางที่ผสมความรู้ทางวิชาการเข้ากับการปฏิบัติจริงด้วยการเข้าศึกษาด้านพลศึกษาและวิทยาศาสตร์การกีฬา (จบจาก Universidad Camilo José Cela กรุงมาดริด) พร้อมคว้าปริญญาโท 2 สาขา
ที่สำคัญคือระหว่างนั้นพี่แกก็อบรมโค้ชไปด้วย จนได้รับใบอนุญาต ยูฟ่า โปร ไลเซ่นส์ (UEFA Pro License) ตั้งแต่ปี 2010 ซึ่งขณะนั้นเพิ่งจะอายุเพียง 23 เท่านั้น ทำให้กลายเป็นหนึ่งในผู้ที่ทำได้ในวัยเพียงน้อยนิด
พื้นฐานการศึกษาและการสอบใบอนุญาตนี้ไม่ใช่แค่ 'ป้าย' แต่กลายเป็นเครื่องมือให้เข้าใจทั้งทฤษฎี, การวิเคราะห์และการจัดการทีม นั่นคือสิ่งที่ช่วยให้ ฆัวกิน ขึ้นสู่การทำงานร่วมกับสตาฟฟ์ระดับสโมสรและทีมชาติได้อย่างรวดเร็ว
[ 2 ] อังกฤษคือห้องเรียนชั้นใหญ่: ร้านกาแฟ, ไบรท์ตัน, ดาร์บี้, ลูตัน และ สโต๊ค
หลังได้รับ ยูฟ่า โปร ไลเซ่นส์ - ฆัวกิน ตัดสินใจย้ายไปอังกฤษ พร้อมภรรยา เพื่อเรียนภาษาและแสวงหาโอกาส เขาเริ่มจากงานพาร์ตไทม์ในโรงแรม รวมไปถึงร้านกาแฟ เพื่อที่จะได้ฝึกฝนการสื่อสารให้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น
"ผมพูดภาษาอังกฤษ แทบไม่ได้เลย จึงต้องทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอยู่พักหนึ่ง กระทั่งได้โอกาสจาก ไบรท์ตัน ให้ร่วมงานในโครงการเยาวชนของสโมสร" เจ้าตัวย้อนวันวาน
ที่ ไบรท์ตัน เขาเริ่มต้นจากทีมรุ่นอายุไม่เกิน 7 ขวบ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ฆัวกิน ขยับขึ้นเรื่อยๆ จนได้ทำงานกับทีมชุดใหญ่ภายใต้การมาของ ออสการ์ การ์เซีย อดีตโค้ชจาก ลามาเซีย อะคาเดมี่ชื่อก้องโลกของ บาร์เซโลน่า ที่มาคุมทัพนกนางนวลเมื่อปี 2013
“ที่อังกฤษ ถ้าคุณทำงานดี พวกเขาจะให้โอกาส และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเส้นทางอาชีพโค้ชมืออาชีพของผม”
เส้นทางในอังกฤษสอนเขาเรื่อง 'โครงสร้างมืออาชีพ' - จากระบบวิทยาศาสตร์การกีฬา - การวิเคราะห์วิดีโอ - จนถึงแผนกแพทย์ ซึ่งทั้งหมดนี้คือกรอบที่ทำให้สโมสรฟุตบอลที่นั่นเติบโตอย่างยั่งยืน
เขาได้โอกาสทำงานกับผู้เล่นที่มีประสบการณ์และร่วมงานในบทบาทหลากหลาย - ทั้งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายฟื้นฟูสมรรถภาพ, วิเคราะห์แท็กติก รวมไปถึงการเป็นสตาฟฟ์ทีมชุดใหญ่
จาก ไบรท์ตัน ฆัวกิน ไปต่อที่ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ (2015-2016) ในฐานะหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์แท็กติก ตามด้วย ลูตัน ทาวน์ (2016-2019) เพื่อไปเป็นผู้ช่วย เนธาน เจมส์ และก็เป็นส่วนหนึ่งของทีมที่ เลื่อนชั้นสู่ ลีก วัน ก่อนจะจบงานที่อังกฤษ กับ สโต๊ค ซิตี้ (2019)
จุดเด่นของช่วงนี้คือการเรียนรู้การทำงานร่วมกับโค้ชระดับสูง ทำให้ได้เห็นระบบงานของสโมสรที่เป็นมืออาชีพ ทั้งเรื่องการลงทุนในเยาวชน, การจัดการบุคลากรและโครงสร้างการสนับสนุนทีม
[ 3 ] ทีมชาติฟินแลนด์ กับเส้นทางนานาชาติเริ่มชัดเจน
จากงานระดับสโมสร ฆัวกิน ก็ก้าวสู่เวทีระหว่างประเทศ เมื่อได้รับโอกาสร่วมงานกับทีมฟินแลนด์ รุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี (2019-2020) ในฐานะผู้ช่วยของ ซามี่ ฮูเปีย ตำนานนักเตะ ลิเวอร์พูล ที่เคยร่วมงานกันสมัยอยู่ ไบรท์ตัน
นี่ไม่ใช่เพียงบันทึกในประวัติ แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เขาเข้าใจความท้าทายของการทำงานกับผู้เล่นมาจากระบบและวัฒนธรรมที่แตกต่าง
มันคืองานที่ต้องรวบรวมรายบุคคลให้กลายเป็นทีมภายในเวลาจำกัด
เขาย้อนวันวานให้ฟังว่า “ผมกับ ซามี่ (ฮูเปีย) สนิทกันมาก หลังจากนั้นตอนที่ผมทำงานอยู่กับ สโต๊ค ซิตี้ - โค้ชผู้รักษาประตูของ ซามี่ โทรชวนผมมาช่วยงานทีมชาติฟินแลนด์ ยู-21 ในช่วง ฟีฟ่า เดย์ นั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของผมกับฟุตบอลฟินแลนด์”
ประสบการณ์ทีมชาติทำให้เขาเห็นความต่างระหว่างฟุตบอลสโมสรกับฟุตบอลทีมชาติ และได้ฝึกความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทักษะที่มีค่าสำหรับโค้ชยุคใหม่ที่ต้องเคลื่อนย้ายบ่อยและรับงานในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
[ 4 ] เริ่มเป็นเฮดโค้ชอย่างเต็มตัว
พอแยกทางกับทีมชาติฟินแลนด์ ชุดเยาวชน - ฆัวกิน กลับสเปน ไปช่วงสั้นๆ ก่อนจะตัดสินใจไปรับงานผู้ช่วยโค้ชในระดับสโมสรอีกครั้ง ซึ่งก็ยังอยู่ในแถบสแกดิเนเวีย เช่นเคย
เอสเจเค เซย์นาจอกิ คือทีมที่พี่แกไปร่วมหัวจมท้าย ก่อนจะขยับสู่การนั่งตำแหน่ง 'กุนซือใหญ่' หนแรกในชีวิตที่ เฮลซิงกิ ไอเอฟเค สโมสรเบอร์ต้นของประเทศในปี 2021
พอหมดสัญญากับ เฮลซิงกิ ไอเอฟเค เขาก็กลับมาที่ เอสเจเค เซย์นาจอกิ (2022-2023) อีกครั้งในฐานะเฮดโค้ชอยู่ 2 ซีซั่นเต็มๆ
[ 5 ] การผจญภัยครั้งใหม่บนแผ่นดินเอเชีย
พอหมดห้วงเวลาที่ฟินแลนด์ ฆัวกิน ออกเดินทางหาความท้าทายใหม่ที่ซาอุดีอาระเบีย โดยกลับไปเป็นผู้ช่วยของ มิเชล ที่ อัล คัดซิญ่าห์ ซึ่งก็ช่วยพาทีมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จในปี 2024
อย่างไรก็ตาม เขากลับยุโรป อีกครั้ง เพราะได้รับข้อเสนอให้เป็นกุนซือ โวโลส สโมสรจากกรีซ แต่ก็คุมได้ไม่นาน เพราะผลงานไม่ดีนัก เลยต้องแยกทางกัน ทั้งๆ ที่เพิ่งคุมทีมได้เพียง 5 เกม
ข้ามสู่ปี 2025 ซัวกิน คัมแบ็กสู่เอเชีย เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นเฮดโค้ช บอร์เนียว ซามารินดา สโมสรดังของอินโดนีเซีย
นี่คือบทใหม่ในโลกเอเชีย ที่เปิดโอกาสให้เขาใช้ประสบการณ์หลากหลายภูมิหลังทั้งยุโรป, สแกนดิเนเวีย และซาอุดีอาระเบีย มาปล่อยของ
[ 6 ] ปรัชญาการทำทีม: ทีมก่อนปัจเจกและปัจเจกเพื่อทีม
ฆัวกิน มีประโยคสั้นๆ แต่หนักแน่นเป็นคติคือ “คนๆ เดียวต้องอุทิศตนเพื่อทีมและทีมต้องอยู่เพื่อพัฒนาผู้เล่นแต่ละคน”
ปรัชญานี้สะท้อนความเชื่อว่าการพัฒนาเชิงตัวบุคคลต้องเกิดขึ้นภายในกรอบเกมทีมและการสร้างวัฒนธรรมสโมสร ต้องทำให้ผู้เล่นแต่ละคนเติบโตเมื่อเขาเล่นเพื่อทีม ไม่ใช่การทำงานแบบยึดตรรกะผลลัพธ์ระยะสั้นเพียงอย่างเดียว
ฆัวกิน ยังพูดถึงความต่างระหว่างฟุตบอลสเปน กับอังกฤษอย่าง ชัดเจน
เขามองว่าสเปน เน้นคุณภาพทางเทคนิค ขณะที่อังกฤษ มีความหลงใหลและความขยันที่สะท้อนออกมาจากเด็กๆ ในเมืองท้องถิ่น นี่คือเหตุผลที่เขาให้ความสำคัญกับการผสมผสานความสามารถทางเทคนิคเข้ากับจิตวิญญาณการต่อสู้ของผู้เล่น
[ 7 ] จุดแข็ง, ความสามารถและอนาคตกับ พลังกาญจน์
จุดแข็งของ ฆัวกิน ที่ปรากฏชัดมีอยู่ 4 ข้อ ไล่ตั้งแต่...
1. การศึกษาครบเครื่อง (ทฤษฎี + ปฏิบัติ + ใบอนุญาต ยูฟ่า โปร ไลเซ่นส์)
2. ประสบการณ์ด้านวิเคราะห์แท็กติก ทำให้เขาอ่านเกมและเตรียมทีมได้อย่างเป็นระบบ
3. ความสามารถปรับตัวในวัฒนธรรมที่ต่างกัน เนื่องจากเคยอยู่ทั้งสเปน, อังกฤษ, ฟินแลนด์, กรีซ, ซาอุดีอาระเบีย และอินโดนีเซีย มาแล้ว
4. ความเชื่อในการพัฒนาผู้เล่น ซึ่งเป็นทัศนคติเชิงบวกของโค้ชรุ่นใหม่
บทเรียนสำคัญที่เส้นทางของเขาสอนคือความไม่แน่นอนของอาชีพโค้ช ช่วงเวลาของความสำเร็จและความล้มเหลวอาจสลับกันเร็ว แต่การรักษาวิถีการเรียนรู้, ความยืดหยุ่นและวินัยในการทำงานจะทำให้ไปต่อในตำแหน่งนี้
สำหรับแฟนๆ ของ พลังกาญจน์ การมาของ ฆัวกิน คือสัญญาณแห่งความหวัง เขาคือกุนซือที่ถูกเลือกเพื่อนำทีมกลับมาโชว์ฟอร์มเก่งอีกครั้ง ด้วยประสบการณ์หลากหลาย, การปรับตัวในวัฒนธรรมฟุตบอลที่ต่างกันและความมุ่งมั่นพัฒนาผู้เล่นทุกคน
เขาไม่ใช่แค่โค้ช แต่คือผู้นำที่จะสร้างทีมใหม่ให้แข็งแกร่งและพร้อมต่อสู้ในเวที ไทยลีก 2025-26 อย่างแท้จริง
มาติดตามกันว่าทัพม้าเหล็ก พลังกาญจน์ เอฟซี จะกลับโชว์ฟอร์มเก่งอย่างที่ทุกคนคาดหวังได้หรือไม่...