หากจะพูดถึงทีมน้องใหม่ที่สร้างเสียงฮือฮามากที่สุดในฤดูกาล 2025-26 ของศึกไทยลีก คงไม่มีใครเกินชื่อของ พลังกาญจน์ เอฟซี ไปได้ แม้จะเป็นทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาด้วยโควตาสุดท้าย แต่กลับกลายเป็นสโมสรที่ทำให้แฟนบอลตื่นตาตื่นใจที่สุดจากการเสริมทัพระดับ 'Big Name' ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ
การกระชากตัว อันดรอส ทาวน์เซ่นด์ อดีตปีกทีมชาติอังกฤษ ที่ผ่านเวที พรีเมียร์ลีก มากว่าสิบปี ถือเป็นการปักหมุดครั้งสำคัญที่ทำให้ชื่อของพวกเขากลายเป็นที่สนใจในวงกว้างทันที
ตามมาด้วย อาบูบาการ์ กามาร่า กองหน้าที่เคยโลดแล่นในลีกสูงสุดเมืองผู้ดีอีกคน เช่นเดียวกับการคว้าแข้งที่โลดแล่นบน ไทยลีก นานหลายซีซั่นอย่าง กิตติพงษ์ ภูแถวเชือก, พีระพัฒน์ โน๊ตชัยยา, ณัฐวุฒิ สมบัติโยธา, ปวีร์ ตัณฑะเตมีย์ และ ธนาสิทธิ์ ศิริผลา ซึ่งต่างก็มีดีกรีและประสบการณ์โชกโชนในระดับสูงสุดของประเทศ
เมื่อรวมเข้ากับโควตาต่างชาติที่ขนเข้ามาเต็มสูบ บวกกับภาพฝันที่สวยหรูบนกระดาษ แฟนฟุตบอลย่อมคาดหวังว่าทีมม้าเหล็กจะทะยานขึ้นสู่ครึ่งบนของตารางแบบไม่ยากเย็น
ทว่าความจริงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพราะหลังผ่าน 5 นัดแรก พลังกาญจน์ มีเพียง 3 คะแนน รั้งอันดับ 14 ของตาราง อยู่ในโซนตกชั้น และยังไม่ชนะใครเลย
2 ปัญหาหลักที่ทำให้พวกเขายังไม่อาจโชว์ฟอร์มได้เต็มเหนี่ยวนั่นคือเรื่องของการพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวรายบุคคลมากเกินไปและการจบสกอร์ที่ไม่เฉียบคมเท่าที่ควรจะเป็น
ปัญหาหลักที่เห็นได้ชัดเจนคือการเล่นที่ยังไม่เข้าขากัน แม้ว่าตัวผู้เล่นจะมีโปรไฟล์เลิศหรู แต่ด้วยความที่เพิ่งมารวมตัวกัน ทำให้แต่ละคนต่างอยากโชว์ศักยภาพของตัวเอง จนบางครั้งการตัดสินใจขาดความเฉียบขาด
จังหวะที่ควรจ่ายกลับเลือกยิงเอง หรือจังหวะที่ควรจบสกอร์กลับเลือกส่งต่อไปแบบเสียของ
นักเตะเก่าที่ก้าวมาจาก ไทยลีก 2 เช่น ปรัชญา ฝัดสุภาพ, ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกุล, เจนรบ สำเภาดี และ โมฮาเหม็ด มาร่า ยังคงยืนเป็นแกนหลัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าการเล่นร่วมกับแข้งดังที่เพิ่งเข้ามา ยังขาดความกลมกลืนในเชิงแท็กติก ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการปรับจูนให้ลงตัวอีกพอสมควร
ส่วนเรื่องความไม่เฉียบคมในพื้นที่สุดท้ายก็เป็นอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ พลังกาญจน์ ยังควานหาชัยชนะไม่เจอ
ปัญหาในการจบสกอร์ในตลอด 5 เกมที่ผ่านมา พวกเขาสร้างโอกาสได้มากถึง 66 ครั้ง แต่เปลี่ยนเป็นประตูได้เพียง 4 ลูก ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมที่ยิงน้อยที่สุดของลีก (อันดับ 3 ร่วมกับ นครราชสีมา เอฟซี และ อุทัยธานี เอฟซี)
ที่น่ากังวลไปกว่านี้คือการที่ทัพม้าเหล็กยังไม่สามารถเจาะตาข่ายคู่แข่งได้เลยติดต่อกันถึง 3 เกม หรือคิดเป็น 270 นาทีเต็ม
แม้ว่าบรรดาตัวรุกต่างชาติอย่าง ทาวน์เซ่นด์, กามาร่า, มาร่า, อะแล็ง โอยาซุน, แกร์ซอน โรดรีเกส หรือ เซร์คิโอ อเกวโร่ จะมีชื่อชั้นและลีลาการเล่นที่การันตีด้วยดีกรีที่ผ่านมา แต่ในท้ายที่สุดสิ่งที่ฟุตบอลวัดกันคือ 'ประตู' ซึ่งจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถสร้างความแตกต่างที่จับต้องได้
จากนี้ 5 เกมต่อไปไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะต้องเจอกับคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ทั้ง ลำพูน วอร์ริเออร์ส, การท่าเรือ เอฟซี, อุทัยธานี, เชียงราย ยูไนเต็ด และ อยุธยา ยูไนเต็ด
โดยเฉพาะเกมเยือนถิ่นสิงห์เจ้าท่ากับกว่างโซ้งมหาภัยที่การจะมีแต้มติดมือยังถือว่าเป็นเรื่องยาก
ดังนั้นแมตช์ในบ้านกับ ลำพูน, อุทัยธานี และ อยุธยา จึงกลายเป็นเกมชี้เป็นชี้ตายที่พวกเขาจำเป็นต้องเก็บ 3 คะแนนให้ได้
อย่าลืมว่าหากผ่าน 10 นัดแรกไปแล้ว พลังกาญจน์ ยังไม่สามารถมีเฮได้เลย เท่ากับว่าผ่านไปแล้วหนึ่งในสามของฤดูกาลโดยที่ทีมยัง 'ไร้ชัย' โอกาสที่จะต้องกลับบ้านเก่าอย่าง ไทยลีก 2 ก็มีสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว
อย่างไรก็ตาม การมี ดุสิต เฉลิมแสน คุมทัพยังถือเป็นเครื่องการันตีบางส่วน เพราะเขาเป็นกุนซือที่มีประสบการณ์โชกโชน รู้จักวิธีการพาทีมเอาตัวรอดในสถานการณ์กดดัน เพียงแต่สิ่งที่น่ากังวลคือเรื่องเวลาและความเฉียบคมของผู้เล่น ว่าจะถูกแก้ไขได้เร็วเพียงใด
หากทีมม้าเหล็กกำจัดสองปัญหานี้ได้สำเร็จ ทั้งเรื่องความเข้าใจในแท็กติกและการจบสกอร์ที่ต้องเป็นประตูให้มากขึ้น พวกเขาก็ยังมีโอกาสกลับมาคว้าชัยชนะ รวมถึงสร้างความมั่นใจใหม่อีกครั้ง
แต่ถ้าหากยังแก้ไม่ตก ต้องบอกว่า 'งานหยาบ' เลยทีเดียว เพราะประตูของ ไทยลีก 2 พร้อมจะเปิดรับการคัมแบ็กทันที
สุดท้ายแล้ว ทุกอย่างอยู่ที่การรีบหาจุดเปลี่ยนให้เจอ ว่าจะใช้ความพ่ายแพ้ในช่วงออกสตาร์ตเป็นเพียง 'บทเรียน' หรือจะปล่อยให้มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความล้มเหลวในฤดูกาล 2025-26
พวกเขามาถูกทางแล้ว สนามก็โอ่อาได้มาตรฐาน, การจัดการต่างๆ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ, วิสัยทัศน์ของฝ่ายบริหารก็จริงจังกับกีฬาลูกหนังด้วยใจจริง, แฟนๆ ก็พร้อมสนับสนุนอยู่เสมอ เหลือเพียง 'ผลงาน' เท่านั้นที่จะนำพาม้าเหล็กทะยานไกล
รีบหา 'จุดเปลี่ยน' – พลังกาญจน์ กับฟอร์มที่ยังไม่ลงล็อกสักที