ไทยลีก ฤดูกาล 2025-26 ได้ก้าวเข้าสู่สัปดาห์ที่ 4 อย่างเป็นทางการ สิ่งที่เห็นได้ชัดและเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาก็คือ 'สปีดบอล' ของทุกทีมที่ยกระดับขึ้นอย่างชัดเจน
หากจะให้มองหาปัจจัยหลักที่อยู่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องของ 'โควตาต่างชาติ' ที่ทำให้มิติของการแข่งขันเข้มข้นกว่าซีซั่นที่ผ่านๆ มาอย่างน่าตกใจ
จากที่เคยมีช่องว่างระหว่างทีมใหญ่กับทีมเล็กอย่างมหาศาล ตอนนี้ช่องว่างนั้นถูกบีบให้แคบลงอย่างเหลือเชื่อ ทุกคะแนนที่ได้มาล้วนแล้วแต่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและกำลังกายอย่างแท้จริง
หากย้อนกลับไปในอดีต ภาพที่เราคุ้นชินคือบรรดาทีมใหญ่มักจะข่มทีมเล็กจนแทบจะไม่ได้ผุดได้เกิด แต่ในฤดูกาล 2025-26 สิ่งที่เคยเป็นมากลับเลือนหายไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ขนาด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด แชมป์เก่าที่ยังคงแข็งแกร่งและเล่นไปแล้ว 4 เกม ซึ่งอาจจะเก็บชัยชนะได้ครบทุกนัดก็จริง แต่กว่าจะคว้าสามแต้มมาครองได้ในแต่ละแมตช์นั้นยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน
การบุกไปพิชิต ลำพูน วอริเออร์ ก็ต้องออกแรงหนักหน่วง แถมยังเกือบจะโดนเจ้าถิ่นแบ่งแต้ม หรือสามคะแนนเหนือ เชียงราย ยูไนเต็ด ก็เป็นเกมที่สาหัสสากรรจ์ไม่แพ้กัน
ล่าสุดกับการเปิด ช้าง อารีน่า เอาชนะ ประจวบ เอฟซี 2-0 ก็ต้องรอจนกระทั่งช่วงทดเวลาการแข่งขันกว่าจะได้ชัยชนะ
นี่จึงเป็นฤดูกาลที่ปราสาทสายฟ้าจะต้องเผชิญกับศึกหนักในทุกๆ สัปดาห์อย่างแท้จริง ดังคำกล่าวอมตะของกุนซือระดับปรมาจารย์อย่าง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ว่า “การเป็นแชมป์ว่ายากแล้ว แต่การป้องกันแชมป์นั้นยากกว่าอีกเท่าตัว”
ความท้าทายนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ บุรีรัมย์ เพียงทีมเดียว แต่ยังแผ่ขยายไปถึงทุกสโมสรที่ต้องยกระดับตัวเองขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็น แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ยังคงมุ่งมั่นจะไปให้ถึงแชมป์ ไทยลีก ก็ต้องเร่งพัฒนาฟอร์มให้คงเส้นคงวาและหวังให้คู่แข่งสะดุดบ้าง
การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในฤดูกาลนี้ทำให้ความเป็นไปได้นั้นมีสูงลิ่ว เพราะทีมเล็กไม่ยอมเป็นบันไดให้ใครเหยียบอีกต่อไป พวกเขามีโควตาต่างชาติที่สามารถสร้างความแตกต่างได้ และมีแท็กติกที่ถูกเตรียมมาอย่างดีเพื่อต่อกรกับทีมใหญ่ ทำให้ทุกนัดคือเกมชิงชัยที่ไม่มีใครยอมใคร
อย่างสัปดาห์ล่าสุดก็มีให้เห็นในเกมที่ ระยอง เอฟซี สามารถเอาชนะทีมที่กำลังฟอร์มแจ๋วอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ยุคปรับปรุงใหม่ไปได้ 2-0
ม้านิลมังกรคือหนึ่งในทีมที่คาดการณ์ว่าจะหล่นชั้นมาตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 ทว่าปัจจุบันก็ยังได้ไปต่อในลีกสูงสุด
นี่ผ่านมา 4 นัด พวกเขาเจอทั้ง แบงค็อก การท่าเรือ เอฟซี รวมไปถึง เมืองทอง แต่กลับเก็บได้ 4 คะแนน ซึ่งถือว่าไม่ธรรมาดา
มันคือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า ไทยลีกยกระดับขึ้นไปแล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม มีสองทีมที่น่าเป็นห่วงก็คือ การท่าเรือ เอฟซี และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ที่ยังไม่สามารถสลัดความไม่แน่นอนออกจากฟอร์มการเล่นได้เสียที
สิงห์เจ้าท่าที่ได้กุนซือที่การันตีความสำเร็จแบบจับต้องได้อย่าง อเล็กซานเดร กามา เข้ามากุมบังเหียน แต่ผ่านไป 4 เกม กลับเก็บได้เพียง 4 คะแนน ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังอย่างมาก
โดยเฉพาะการทำได้แค่เสมอ ระยอง เอฟซี ที่ แพท สเตเดี้ยม 1-1 ทั้งที่ศักยภาพผู้เล่นและชื่อชั้นของโค้ชควรจะทำให้พวกเขาทำได้ดีกว่านี้มาก
ส่วนนัดล่าสุดที่บุกไปแพ้ ราชบุรี เอฟซี 0-1 นั้นต้องยกเครดิตให้เจ้าถิ่นที่ยกระดับตัวเองมาเป็นทีมหัวแถวของสยามประเทศในปัจจุบันซะแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ การมท่าเรือ น่าจะมาจากเรื่องของแท็กติกที่ยังไม่ลงตัวและผู้เล่นยังไม่สามารถปรับเข้ากับระบบการทำทีมของเทรนเนอร์ชาวบราซิล ได้อย่างเต็มที่นั่นเอง
แต่ถ้าเมื่อใดที่พวกเขาจูนเครื่องติด อันนี้น่าสนใจ เพราะพะยี่ห้อ กามา นั้นพร้อมพาทีมประสบความสำเร็จได้แน่นอน
ขณะที่ บีจี ปทุม ที่แม้จะแพ้ไปเพียงแค่นัดเดียวให้กับ แบงค็อก แต่ผลการแข่งขันในเกมอื่นๆ รวมถึงฟอร์มการเล่นโดยรวมนั้นยังไม่น่าประทับใจนัก การเสมอ ประจวบ 2-2 และการเอาชนะ ลำพูน กับ อุทัยธานี เอฟซี แบบหวุดหวิด คือสิ่งที่แฟนๆ กระต่ายแก้วไม่ค่อยจะปลื้มเท่าใดนัก
โดยเฉพาะเมื่อมองไปที่รายชื่อผู้เล่นที่เต็มไปด้วยดีกรีทีมชาติ ทั้งนักเตะไทย และผู้เล่นต่างชาติ - ฟอร์มการเล่นที่ยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายทำให้เกิดคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งที่สุดทีมหนึ่งในลีก
จากผลงานของแต่ละสโมสรในช่วงต้นฤดูกาลนี้ จึงเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่าการแข่งขันในไทยลีก 2025-26 นั้น เข้มข้นแบบชัดเจน
ทีมใหญ่ไม่สามารถข่มทีมเล็กได้อย่างที่เคยเป็นมา ทีมเล็กก็เลือกใช้แท็กติกเข้าสู้ ซึ่งในหลายๆ นัดก็เห็นผลลัพธ์ที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เพราะการมีโควตาต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ทำให้พวกเขาสามารถดึงนักเตะที่มีคุณภาพสูงเข้ามาเสริมทัพได้ สามารถสร้างความสมดุลให้กับทีมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองหลังที่แข็งแกร่ง, กองกลางที่มีวิชั่นหรือกองหน้าที่เฉียบคม
ทำให้ทีมเล็กมีอาวุธที่สามารถใช้ต่อกรกับทีมใหญ่ได้อย่างสูสี
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การแข่งขันในฤดูกาลนี้มีเสน่ห์เพิ่มขึ้นทวีคูณก็คือ 'ผู้ชม' ในแต่ละสนามที่มีจำนวนแฟนฟุตบอลเข้ามาเกินครึ่งของอัฒจันทร์ในทุกๆ แมตช์
พอคนดูเพิ่มขึ้น นักฟุตบอลก็มีแรงฮึดที่จะสู้และมีแรงบันดาลใจที่จะโชว์ฟอร์มมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
เสียงเชียร์ในสนามทำให้บรรยากาศของเกมตื่นเต้นและเร้าใจยิ่งกว่าที่เคย ทำให้ฟุตบอลไทยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
กล่าวได้เลยว่า ไทยลีก 2025-26 จะเป็นซีซั่นที่การแข่งขันสนุกที่สุดในประวัติศาสตร์ และเราจะต้องติดตามการต่อสู้ที่วัดกันไปจนถึงนัดสุดท้ายอย่างแน่นอน
เหลือเพียงแค่การยกระดับมาตรฐานการตัดสินให้เป็นสากล รับประกันเลยว่าจำนวนแฟนฟุตบอลจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการลูกหนังไทย ได้อย่างแท้จริง
ไทยลีก 2025-26 ความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ