เมืองทอง ยูไนเต็ด เปิดทางยุคใหม่ด้วยการตั้ง รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค เป็นเฮดโค้ชคนใหม่ ลุยไทยลีกฤดูกาลหน้า พร้อม 5 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ “โค้ชอ้น” คือคนที่ใช่สำหรับกิเลนผยอง
เมืองทอง ยูไนเต็ด เพิ่งประกาศแต่งตั้ง รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค เป็นกุนซือคนใหม่ แทนที่ จิโน่ เล็ตติเอรี่ ที่แยกทางกันหลังจบฤดูกาล 2024-25 ซึ่งทุกการเปลี่ยนแปลงอดีตแชมป์ ไทยลีก 4 สมัย นั้นถูกจับจ้องจากสาธารณชนเสมอ
ดังนั้นนี่คือ 5 สิ่งที่จะเป็นไปในทิศบวกเมื่อกิเลนผยองมีเทรนเนอร์วัย 46 ปี เป็นเฮดโค้ช!!
[ 1 ] คุมนักเตะไทย ได้อยู่หมัด ด้วยบารมีและประสบการณ์
หนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของเฮดโค้ชสำหรับทีมที่มีนักเตะไทย เป็นแกนหลักอย่างเมืองทอง คือความสามารถในการบริหารจัดการห้องแต่งตัวและเข้าถึงจิตใจของผู้เล่น ซึ่งทาง 'โค้ชอ้น' มีคุณสมบัติข้อนี้อย่างเต็มเปี่ยม
ด้วยประสบการณ์โชกโชนในฐานะอดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทย อดีตกัปตันทีมและการเป็นส่วนหนึ่งของวงการลูกหนังมาอย่างยาวนาน ทำให้เขามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในวัฒนธรรม พฤติกรรม รวมถึงสภาพจิตใจของนักเตะท้องถิ่นเป็นอย่างดี
บารมีและความเป็นพี่ใหญ่ที่สั่งสมมาจากการเป็น 'ตำนาน' จะทำให้เขาสามารถสร้างความเคารพจากลูกทีมได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพียงแค่การสั่งการ แต่เป็นการเป็นที่ปรึกษา, เป็นแรงบันดาลใจและเป็นผู้ที่สามารถเข้าถึงผู้เล่นได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะบรรดาดาวรุ่งที่ยังต้องการการชี้แนะ
คือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยรวมใจผู้เล่นให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้แนวทางที่โค้ชวางไว้และดึงศักยภาพที่แท้จริงของแข้งกิเลนผยองออกมาได้อย่างเต็มที่
[ 2 ] แนวทางสอดคล้องกับกิเลนผยอง
ตลอดระยะเวลาการทำงานของ รังสรรค์ ไม่ว่าจะที่ สุพรรณบุรี เอฟซี, โปลิศ เทโร เอฟซี และ การท่าเรือ เอฟซี เขาแสดงให้เห็นถึงแนวทางการทำทีมที่เน้นการสร้างทีมด้วยทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะการปั้นดาวรุ่งและให้โอกาสนักเตะไทย ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลัก
นอกจากนี้ยังมีการปลูกฝังหัวใจนักสู้. ความมุ่งมั่นและทัศนคติที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกทีม ซึ่งแนวทางเหล่านี้ไม่ได้แตกต่างไปจาก DNA ของ เมืองทอง ในยุคบุกเบิกที่ขึ้นชื่อเรื่องการเป็น 'สถาบันลูกหนัง' ที่ผลิตนักเตะคุณภาพประดับวงการฟุตบอลไทย มาอย่างต่อเนื่อง
การเข้ามาของ 'โค้ชอ้น' จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งกุนซือ หากแต่ยังเป็นการกลับมาตอกย้ำปรัชญาของสโมสร การผสมผสานนักเตะมากประสบการณ์ เข้ากับเลือดใหม่ที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ ภายใต้การนำของ รังสรรค์ ที่เข้าใจบริบทของฟุตบอลไทย เป็นอย่างดี จะช่วยให้กิเลนผยองเดินหน้าในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งจากภายในและกลับมาเป็นทีมที่น่าเกรงขามในระยะยาว
[ 3 ] ระบบ 4-3-3 เตรียมกลับมาสร้างความเร้าใจ
ฤดูกาล 2024-25 เมืองทอง ภายใต้การกำกับของ จิโน่ เล็ตติเอรี่ นั้นมักจะยืนระบบ 3-4-3 ซึ่งผลงานที่ออกมาอาจจะถือว่าโอเค ไม่ได้ย่ำแย่ แต่เมื่อมองในแง่ของ 'เสน่ห์' ต้องถือว่าขาดหายไปพอสมควร เนื่องจากกิเลนผยองมักจะมีตัวริมเส้นที่สร้างความหวือหวามาโดยตลอด
จาก ซูมาโฮโร่ ยาย่า, จักรพันธ์ พรใส, เอกภูมิ โพธารุ่งโรจน์, วิลเลียน พ็อพพ์ และ เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ พวกเขาเหล่านี้คือแนวรุกริมเส้นที่สร้างความแตกต่างได้ทุกวินาที
ดังนั้นระบบ 4-3-3 จึงเป็นสิ่งที่แฟนๆ เมืองทอง ถวิลหา เพราะมันคือรูปแบบการเล่นที่ดุดัน, สวยงามและเปี่ยมไปด้วยพลังที่พุ่งไปข้างหน้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของทีมในยุครุ่งเรือง
หากพิจารณาจากแท็คติกที่ 'โค้ชอ้น' ใช้กับ โปลิศ เทโร เขามักจะเลือกใช้ระบบการเล่นที่เน้นการครองบอลและเกมรุกอย่าง 4-3-3 หรือใกล้เคียงอยู่เสมอ ระบบนี้เป็นที่คุ้นเคยสำหรับนักเตะกิเลนผยองที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง โดยเฉพาะผู้เล่นในแนวรุก
การกลับมาของระบบนี้จะช่วยให้นักเตะสามารถปรับตัวเข้ากับแท็คติกได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลาปรับจูนมากนักและจะได้ปลดปล่อยศักยภาพในการสร้างสรรค์เกมรุก การเข้าทำ และการจบสกอร์ออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้เกมของ เมืองทอง กลับมามีความหลากหลาย มีความน่าตื่นเต้น อีกทั้งยังสร้างความสนุกให้กับแฟนๆ ได้อย่างแน่นอน
[ 4 ] ภาพลักษณ์เพิ่มมูลค่า สร้างแบรนด์ที่น่าสนใจ
การแต่งตั้ง รังสรรค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะ 'ขวัญใจมหาชน' ของแฟนฟุตบอลชาวไทย ย่อมส่งผลดีต่อภาพลักษณ์ของสโมสรอย่างมหาศาล
เขาไม่ใช่แค่โค้ช แต่เป็นบุคคลที่มีเรื่องราว มีความผูกพันกับฟุตบอลไทย และมีบุคลิกที่เป็นกันเอง เข้าถึงง่าย การปรากฏตัวของเขาไม่ว่าจะเป็นที่สนามฝึกซ้อมหรือข้างสนามแข่งขันจะเป็นจุดดึงดูดความสนใจจากสื่อมวลชนและแฟนๆ ให้เข้ามาติดตามมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะส่งผลดีต่อสโมสรในด้านการตลาด รวมไปถึงการการสร้างแบรนด์
มันจึงเป็นเหตุที่จะทำให้ เมืองทอง กลับมาเป็นที่พูดถึงอย่างมีสีสันและเป็นที่น่าจับตามองในทุกๆ ก้าว ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขัน, การเคลื่อนไหวของนักเตะ หรือแม้กระทั่งการทำกิจกรรมนอกสนามของสโมสร ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดให้กับแบรนด์นั่นเอง
[ 5 ] นักปั้นตัวยง
รังสรรค์ เริ่มงานโค้ชจากการเป็นผู้ช่วย วรวุฒิ ศรีมะฆะ ต่อด้วย อเดบาโย กาเดโบ ที่ สุพรรณบุรี เมื่อฤดูกาล 2017 ก่อนจะโยกสู่ โปลิศ เทโร ในซีซั่นถัดมา กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือใหญ่
เท่ากับว่าประสบการณ์การทำงานในด้านโค้ชนั้นอยู่ที่ราวๆ เกือบสิบปี ซึ่งถือว่ามีความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง แม้ความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลจะยังไม่มาถึง แต่เขาจัดเป็นเทรนเนอร์ที่มักจะผลักดันและดึงศักยภาพนักเตะออกมาใช้ได้ในประสิทธิภาพสูงสุด
ชานุกูล ก๋ารินทร์ คือหนึ่งในตัวอย่างชั้นยอดถึงฝีมือในการ 'ปลุกปั้น' ของ รังสรรค์ เพราะมิดฟิลด์ชาวเชียงราย มาจาก ไทยลีก 3 (มหาวิทยาลัยนอร์ทกรุงเทพ เอฟซี) แต่กระโดดขึ้นสู่ ไทยลีก (โปลิศ เทโร) และภายใต้การดูแลจาก 'โค้ชอ้น' - หมอนี่ไปไกลถึงการติดทีมชาติชุดใหญ่เลยทีเดียว
นอกจากนี้ ปฐมพล เจริญรัตนาภิรมย์ ที่กลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง หมอนี่เป็นอดีตลูกทีมสมัย โปลิศ เทโร ก็เป็นอีกรายที่ได้รับการติวเข้มจาก 'โค้ชอ้น' กับการปรับบทบาทมายืนเป็นเพลย์เมเกอร์ ซึ่งก็แน่นอนว่าก็ก้าวสู่ทัพช้างศึก แถมยังได้ย้ายไปเล่นให้สโมสรใหญ่อย่าง บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, การท่าเรือ เอฟซี และกำลังจะเป็นสมาชิกใหม่ของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเร็ววัน
ไม่นับรวม เฉลิมศักดิ์ อักขี, อิสซัค ฮอนนี่ และคนอื่นๆ อีกมากมายที่ได้ดิบได้ดี เพราะมีกุนซือผู้เก่งกาจอย่าง รังสรรค์ คอยชี้แนะนั่นเอง