แม้ผลการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ช้าง เอฟเอ คัพ 2024-25 จะไม่ใช่วันของ เมืองทอง ยูไนเต็ด หลังปราชัยต่อ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ไปหวุดหวิดด้วยสกอร์ 2-3 ทำให้พวกเขาได้เพียงรองแชมป์อีกครั้ง
ถือเป็นการอกหักหนที่ 4 ในรายการนี้สำหรับกิเลนผยอง เพราะก่อนหน้านั้นก็แพ้ในนัดตัดสินมาแล้ว 3 ครั้ง
แฟนๆ ของ เมืองทอง คงจะเศร้าใจไม่ใช่น้อย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาแสดงออกในสนามกีฬาธรรมศาสตร์-รังสิต นั้นคือ 'ความภูมิใจ' กับการสู้อย่างสุดความสามารถ โดยไม่ยอมแพ้กระทั่งถึงวินาทีสุดท้าย
นี่คือนัดชิงชนะเลิศที่เต็มไปด้วยอารมณ์, ความคาดหวังและเดิมพันสูงสุดแห่งฤดูกาล เมืองทอง ต้องเผชิญหน้ากับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง บุรีรัมย์ ที่กำลังกวาดความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องในยุคหลัง และมีขุมกำลังที่เหนือกว่าในทุกมิติ ทั้งประสบการณ์ รวมไปถึงศักยภาพโดยรวม
ทว่า เมืองทอง กลับยืนหยัดได้ด้วยสิ่งที่ต่างออกไป นั่นคือการใช้ผู้เล่นท้องถิ่นและพลังจากระบบอะคาเดมีที่แท้จริง
กวาดตาไปที่รายชื่อผู้เล่นของทั้งสองทีมแบบตัวต่อตัว คุณจะพบว่าเกมนี้คือการดวลกันของ 'สองระบบ'
ฝั่งหนึ่งมีนักเตะชาติเกรด 'พรีเมียม' ล้นทีม
นีล เอเธอริดจ์ ผู้รักษาประตูระดับ พรีเมียร์ลีก, โกรัน เคาซิช มิดฟิลด์ที่ผ่าน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เคอร์ติส กู๊ด กองหลังทีมชาติออสเตรเลีย, โก มย็อง-ซ็อก เซนเตอร์ฮาล์ฟ เคลีก. ดิออน คูลส์ เพื่อนร่วมรุ่น เควิน เดอ บรอยน์ สมัยเบลเยียม ชุดเยาวชน หรือ กีเญร์เม่ บิสโซลี่ ศูนย์หน้าเกรด ซีรีส์ เอ บราซิล
ขณะที่ฝั่ง เมืองทอง ยืนหยัดด้วยการเน้นผู้เล่นในประเทศ ผสมผสานด้วยโควตาต่างชาติตามสัดส่วนที่กำหนด
ทว่าที่สำคัญคือกิเลนผยองใช้นักเตะที่เติบโตจากระบบเยาวชน นำโดย พิชา อุทรา, ปรเมศย์ อาจวิไล, กรวิชญ์ ทะสา, ปุรเชษฐ์ ทอดสนิท รวมไปถึงแข้งที่ดึงจากโรงเรียนที่อยู่ในเครือพันธมิตร จึงได้เซ็นสัญญามาตั้งแต่เยาว์วัยอย่าง สรวิทย์ พานทอง, ทรงวุฒิ ใคร่ครวญ และ คคนะ คำยก
เรียกได้ว่าเปิดพื้นที่ให้นักเตะท้องถิ่นได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มความสามารถ
เมืองทอง ทำให้แฟนฟุตบอลได้เห็นว่าแม้คุณภาพและประสบการณ์จะต่างกัน แต่หัวใจที่ไม่ยอมแพ้สามารถทลายทุกความต่างได้อย่างแท้จริง
กิเลนผยองสู้แบบไม่มีถอย ไล่บี้ทุกจังหวะ บดบี้ทุกพื้นที่ บล็อกทุกลูกยิง จนปราสาทสายฟ้าต้องถอยไปตั้งรับใช่ช่วง 20 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน
แม้สุดท้ายจะไม่สามารถคว้าถ้วยแชมป์สู่ ธันเดอร์โดม สเตเดี้ยม แต่พวกเขาสู้อย่างได้ใจแฟนๆ ไปเต็มๆ
นี่ไม่ใช่แค่เกมนัดชิง...แต่มันคือ ‘สารจากวันพรุ่งนี้’ สิ่งที่ เมืองทอง แสดงให้เห็นคือพลังของ 'ระบบเยาวชนที่จริงจัง'
พวกเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าโครงสร้างของอะคาเดมี่นั้นสำคัญต่อการพัฒนาฟุตบอลไทย ในระยะยาว
ในวันที่หลายสโมสรเลือกนำเข้าผู้เล่นต่างชาติเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้น - เมืองทอง กำลังบอกว่าระบบเยาวชนนี่แหละจะเป็นปัจจัยสำหรับการต่อยอดในภายภาคหน้า
นี่คือบทสรุปที่แฟนบอลกิเลนผยองทุกคนควรภาคภูมิ เพราะฟุตบอลไม่ใช่แค่เกมชิงถ้วย แต่มันคือเวทีของการพิสูจน์ตัวตน
เมืองทอง ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่ใช่เพียงสโมสรที่วิ่งไล่ล่าความสำเร็จเหมือนทีมอื่นๆ แต่พวกเขายึดมั่นในแนวทางของตัวเองและกล้าพอที่จะเดินบนเส้นทางที่ต่างออกไป
เส้นทางที่ไม่หวือหวา...แต่ยั่งยืน
เส้นทางที่ไม่เร่งรัดความสำเร็จ...แต่เน้นรากฐานและความมั่นคงในอนาคต
ฟุตบอลไม่ใช่แค่กีฬาที่วัดกันที่สกอร์บอร์ด แต่มันสะท้อนแนวคิดของผู้บริหาร, สะท้อนค่านิยมของสโมสรและสะท้อนความฝันของเยาวชนไทย อีกนับพันคนที่เฝ้ารอวันได้สวมเสื้อกิเลนผยอง
เกมนัดชิงชนะเลิศนี้ แม้จะไม่มีเหรียญทองให้คล้องคอ ไม่มีถ้วยแชมป์ให้ชูสูงเหนือศีรษะ ทว่าพวกเขากำลังประกาศถึงหนทางของฟุตบอลที่แท้จริง
ฟุตบอลที่มีหัวใจ
ฟุตบอลที่พัฒนาอย่างยั่งยืน
ฟุตบอลที่กำลังสร้างอนาคตให้เมืองไทย ในระยะยาว
กิเลนห้าวหาญและแนวทางที่ภาคภูมิ