เดี๋ยว เมืองทองฯ ก็กลับมา

เมืองทอง ยูไนเต็ด ออกสตาร์ตฤดูกาล 2023-24 ได้ไม่ดีนัก การมีเพียง 1 คะแนน จาก 3 เกมแรกของซีซั่นถือเป็นผลงานที่น่าผิดหวัง แถมยังเป็นความพ่ายแพ้คาบ้าน 2 นัดติดต่อกันอีกต่างหาก

   แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่แฟนๆ ต่างก็รู้สึกย่ำแย่ที่เห็นทีมรักเป็นเช่นนี้ 

   แต่อย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะมันยังมีอีกตั้ง 27 เกมรออยู่ แม้โอกาสลุ้นแชมป์ ไทยลีก จะไกลห่าง ทว่าก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมาตรฐานของแต่ละสโมสรต่างก็ถีบตัวสูงขึ้น มันจึงมีโอกาสแพ้-ชนะได้ในทุกๆ เกม

   เหมือนอย่างที่ เมืองทอง เป็นใน 3 นัดแรกนี่แหละ

   ทั้ง 3 เกม กิเลนผยองเหนือกว่าคู่แข่งแบบชัดเจน ไม่เว้นแม้กระทั่งแมตช์ที่บุกเสมอ แบงค็อก ยูไนเต็ด 0-0 พวกเขาก็ยังมีเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่มากกว่าเจ้าถิ่นอีกต่างหาก

   ส่วนการแพ้คา ธันเดอร์โดม ต่อ เชียงราย ยูไนเต็ด 0-1 และ การท่าเรือ เอฟซี 1-3 เมืองทอง ครองบอล รวมถึงสร้างโอกาสแบบคนละเรื่องเดียวกันเลย

   เพียงแต่ฟุตบอลไม่ใช่มวยสากลที่นับคะแนนว่าใครต่อยได้เข้าเป้ามากกว่า หากแต่กีฬาลูกกลมๆ ชนิดนี้ วัดผลแพ้-ชนะที่จำนวนประตู ซึ่งยอดทีมแห่งย่านแจ้งวัฒนะยังทำได้ไม่ดีพอเท่านั้นเอง

   ทว่ามันก็ไม่ใช่หนแรกหรอกที่กิเลนผยองตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึมครึมแบบนี้ ย้อนเวลากลับไปใกล้ๆ ที่ฤดูกาล 2022-23 ที่ผ่านมา พวกเขาก็ออกสตาร์ตได้ไม่ดีนัก แถมเลกแรกชนะแค่ 3 นัด จาก 15 เกม ที่ลงสนาม

    จบเลกแรก เมืองทอง รั้งอันดับ 10 ซึ่งถือเป็นโซนครึ่งล่างของตารางคะแนน

   แต่หลังจากเปิดปี 2023 เป็นต้นมา พวกเขากวาดชัยชนะรัวๆ แถมมีช่วงหนึ่งที่เก็บ 3 แต้ม ได้ 8 นัดติดต่อกันอีกต่างหาก กระทั่งสุดท้ายแซงขึ้นมาจบอันดับ 4 ได้อย่างเหลือเชื่อ

   ด้วยฟุตบอลแบบที่ มาริโอ ยูรอฟสกี้ ต้องการนั้นมันเป็นเรื่องยากพอสมควรที่จะให้นักเตะทำตามได้แบบเป๊ะเช๊ะ

   สิ่งหนึ่งที่ทำให้กิเลนผยองเริ่มต้นได้ไม่สวยนัก คือการที่ต้องเสียสองผู้เล่นหลักอย่าง สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ และ บุญทวี เทพวงษ์ ซึ่งเป็นฟูลแบ็กคนสำคัญของทีมมาโดยตลอดออกจากทีมไป มันจึงทิ้ง 'ช่องโหว่' ไว้รูเบ้อเริ่ม

   กุนซือชาวมาซิโดเนีย ไม่อนุญาตให้ลูกทีมของเขาเตะบอลทิ้งโดยไม่จำเป็น ทุกจังหวะคือต้องบิ้วต์-อัปมาจากแดนตัวเอง

   การไม่มี สุพร และ บุญทวี ที่เรียนรู้ระบบได้หมดแล้ว จึงต้องสร้างใหม่มาแทนที่ และผลการแข่งขันทั้ง 3 นัดแรกที่ออกมา ก็เห็นแล้วว่ามันยังดูขาดๆ เกินๆ หลายอย่าง

   ทริสต็อง โด อาจจะพลังล้นเหลือ ประสบการณ์เพียบ และน่าจะแทนที่ในฝั่งขวาได้แน่ แต่ด้วยความที่เพิ่งเข้ามา เขาจึงยังไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาได้ ต้องใช้เวลาปรับจูนกับระบบของ ยูรอฟสกี้ อีกสักหน่อย ถ้าจูนติดเร็ว ประโยชน์ก็จะอยู่กับทีมนั่นแหละ

   ส่วนฟากซ้าย อันนี้นี่หนักเอาเรื่องเลย เพราะถึงขั้นเอา ธีรภัทร เลาหบุตร ซึ่งเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพมายืนตำแหน่งนี้

   เท่านั้นไม่พอ ผู้รักษาประตูก็ใช้ โสภณวิชญ์ รักญาติ ที่เพิ่งถูกดันมาเล่นทีมชุดใหญ่เป็นซีซั่นแรก แถมคู่ปราการหลัง ลูคัส โฮช่า กับ เยสเปอร์ นีโฮล์ม ก็เปลี่ยนมาเป็น ฌอง-โคล้ด บีลลง และ ชาติชาย แสงดาว

   เรียกได้ว่าแผงหลังเปลี่ยนใหม่ยกชุดนั่นเอง

   การเปลี่ยนทีมถึง 5 ตำแหน่งแบบนี้ มันต้องใช้เวลาสักระยะเพื่อให้นักเตะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน แถมฟุตบอลแบบที่ เมืองทอง เล่นอยู่ ก็ต้องใช้ความเข้าใจเกมสูงมาก เพราะถ้าพลาดเพียงหนเดียวนั่นหมายถึงประตูทันที

   อีกสิ่งหนึ่งที่ยังทำให้กิเลนผยองยังไม่ได้รับผลการแข่งขันที่ดีกลับมา นั่นคือเกมรุกที่อาจจะสร้างโอกาสได้ก็จริง แต่กลับยิงได้ประตูเดียว แถมยังมาจากจุดโทษอีกต่างหาก

   3 เกม ที่ผ่านมา พวกเขามีจังหวะสับไกรวมกันกว่า 35 ครั้ง เฉลี่ยแมตช์ละ 12 หน เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงพอควร 

   ทว่าผลการแข่งขันเป็นไปในทางตรงกันข้าม เพราะได้กลับมีแค่ 1 คะแนนเท่านั้น

   หากว่าแก้ไขเรื่องความเข้าใจกันในเกมรับได้ รวมทั้งปรับจังหวะสุดท้ายให้เฉียบขาดกว่าที่เป็นอยู่ มั่นใจได้เลยว่า เมืองทอง จะฟอร์มกระฉูดอีกครั้ง

   นี่ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น มีอีกหลายเกมให้ชิงชัย เดี๋ยวกิเลนก็กลับมา

ชิกกะด้าว


ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport