สุรพงษ์ คงเทพ และการกลับมาอีกครั้งในรอบกว่า 1 ปี!!

สุรพงษ์ คงเทพ กุนซือหนุ่ม หนึ่งในผู้ถูกยกให้ว่ามีอนาคตที่สดใสในวงการลูกหนังไทย แต่เขากลับหายหน้าหายตาไปเกินหนึ่งปี กระทั่งกลับมารับงานคุมทัพ การท่าเรือ เอฟซี และพาทีมทำผลงานได้สุดดุดันกับชัยชนะ 4 จาก 5 นัด ที่ลงสนาม

ว่าแล้ว 'SIAMSPORT' จึงบุกไปสัมภาษณ์ถึงเรื่องราวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นก่อนจะผันตัวสู่อาชีพโค้ช, ที่หายไป ไปทำอะไรบ้าง, การเผชิญหน้าอดีตต้นสังกัดเก่าอย่าง เมืองทอง, ความกดดันในรั้ว แพท สเตเดี้ยม และคำตอบอีกมายมายที่รอคุณอยู่!!

ยินดีกับชัยชนะเหนือ เชียงราย ยูไนเต็ด ด้วย...

   ขอบคุณสำหรับคำยินดี แต่เรายังมีเรื่องให้ต้องแก้ไขปรับปรุงพอสมควร ซึ่งผมมั่นใจว่า การท่าเรือ จะดีขึ้นเรื่อยๆ นับจากนี้ไป

หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้ว่าคุณเคยเป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจมาก่อนตั้งแต่วัยเด็ก ช่วยขยายความตรงนี้ได้ไหม?

   ตอนเด็กๆ ผมเริ่มต้นกับโรงเรียนบางกะปิ โดยช่วงนั้นได้ฝึกฟุตบอลกับอาจารย์สุรัก-อาจารย์สุทิน ไชยกิตติ อดีตนักเตะทีมชาติ จนได้ไปคัดตัวกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน กระทั่งได้ไปเรียนต่อที่นั่นตอนอายุ 14 ขวบ

เพื่อนร่วมรุ่นของคุณ ณ เวลานั้นมีใครบ้าง?

   หลายคนเลยล่ะ เพราะเวลานั้นกรุงเทพคริสเตียน เป็นมหาอำนาจฟุตบอลนักเรียน ถ้าเอาที่อยู่ในแวดวงเดียวกัน ณ ปัจจุบัน มีทั้ง 'โค้ชโจ' ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น, 'โค้ชอู๊ด' สระราวุฒิ ตรีพันธ์, 'โค้ชหมี' รักษ์พล สายเนตรงาม (โค้ชฟุตซอลทีมชาติไทย), 'โค้ชอ้วน' วัชลพล กล้าหาญ, 'โค้ชเบิร์ธ' สุธี สุขสมกิจ และคนอื่นๆ อีกพอสมควร

แล้วตัวคุณเล่นตำแหน่งอะไร?

   ผมเล่นเป็นกองกลางคู่กับ โค้ชโจ' (ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น)

พอเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย คุณไปเรียที่ จุฬาลงกรณ์ ใช่ไหม?

   ถูกต้อง ผมเข้าโควตาโครงการช้างเผือก ตอนนั้นอายุ 18 ปี แต่ก็เริ่มเล่นให้ โอสถสภา แล้วนะ ส่วนฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรมศาสตร์ ก็อยู่ในทีม ส่วนตอนที่เรียนจบแล้ว ผมไปเล่นให้ ราชวิถี, กรุงเทพคริสเตียน และ จุฬา-สินธนา ชุดที่พี่โก้ (เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง) คุมทีม

คุณเลิกเล่นตอนอายุเท่าไหร่?

   29 ปี คือตอนนั้นผมมีปัญหาบาดเจ็บรบกวนด้วย แล้วโค้ชอู๊ด (สระราวุฒิ ตรีพันธ์) ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ชักชวนให้มาเป็นโค้ชดีกว่า ณ ตอนนั้นก็ยังสองจิตสองใจ เพราะยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการเป็นโค้ชเลย แต่โค้ชอู๊ดก็ช่วยในการให้ข้อมมูลและสอนวิธีการต่างๆ จึงเลิกเล่นฟุตบอล ก่อนจะหันมาเรียนโค้ชจริงๆ จังๆ นับตั้งแต่นั้น  

จุดเริ่มต้นของคุณกับเส้นทางโค้ชคือ?

   ผมเริ่มจากการเป็นโค้ชของโครงการ โคเวอร์ โค้ชชิ่ง (Cover Coaching) กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด คือสอนฟุตบอลเยาวชน ซึ่งตอนนั้นมีเฟย (ศิวกรณ์ เตียตระกูล), โจ๋ (กษิดิ์เดช เวทยาวงศ์), ฟร้อง (นรากร นุ่มจันทร์สกุล) รวมไปถึงโชแปงกับปาแปง (ทิตาธร และ ทิตาวีร์ อักษรศรี) ที่มาเรียน

 จากนั้นล่ะ?

   ผมก็เข้ามาอยู่ในอะคาเดมี่ของ เมืองทอง เต็มตัว โดยเริ่มจากการคุมทีมรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี 

มีนักเตะคนใดบ้างที่ผ่านการเทรนกับคุณและปัจจุบันคือนักเตะชั้นนำของ ไทยลีก?

   ก็มีเคน (พิชา อุทรา), ต้าร์ (สุพร ปีนะกาตาโพธิ์), บอล (บุญทวี เทพวงศ์), วง (วงศกร ชัยกุลเทวินทร์), เม่น (ภูมินทร์ แก้วตา), เต้ (พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล), เท็กซ์ (สุริยา สิงห์มุ้ย), บอล (ชัยวัฒน์ บุราณ) ก็จะประมาณนี้

ความสำเร็จในระดับเยาวชนที่ผ่านมามีอะไรบ้าง?

   ก็คงจะเป็นแชมป์ฟุตบอลกรมพละ, ไพรม์มินิสเตอร์ คัพ และแน่นอนว่าต้องมี โค้ก คัพ 2 สมัย รวมอยู่ด้วย

ก้าวสู่ พัทยา ยูไนเต็ด?

   จำได้ว่าเป็นปี 2015 ตอนแรกโค้ชของ พัทยา คือ ฌอน ลันส์บิวรี่ แต่เขาอยู่ไม่จบฤดูกาล ผมไปรับช่วงต่อ แล้วก็พาทีมคว้ารองแชมป์ ดิวิชั่น 1 (ปัจจุบันคือ ไทยลีก 2) พร้อมกับสิทธิ์เลื่อนชั้นสู่ ไทยลีก

แล้วไปต่อที่ บีอีซี เทโรศาสน (โปลิศ เทโร เอฟซี ในปัจจุบัน) ได้อย่างไร?

   มันคือ ไทยลีก ฤดูกาล 2016 ก็คล้ายๆ กับ พัทยา คือตอนแรก บีอีซี เทโรศาสน ใช้ บลังโก้ (สมิยานิช) เป็นกุนซือ แต่เขาทำทีมได้ 10 เกม แล้วผลงานไม่ดี ก็เลยต้องแยกทางกันไป ผมเลยถูกดึงมาเป็นเฮดโค้ช ตอนนั้นผมเพิ่งจะอายุ 36 ปี เท่านั้น ก็กดดันนะ แต่เราก็ต้องสู้ ซึ่งก็สู้จนจบอันดับ 9 ของตาราง ถือเป็นผลงานที่น่าพอใจในมุมมองของผมเอง

จากนั้นก็กลับมา พัทยา อีกครั้ง?

   ใช่ ผมกลับมาคุม พัทยา อีกครั้งในปี 2017 และก็คุมได้ราวๆ 3 ปี ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่เปลี่ยนชื่อเป็น สมุทปราการ ซิตี้ ด้วย ซึ่งช่วงที่อยู่ที่นั่นเป็นห้วงเวลาที่ยอดเยี่ยม เพราะทีมผลงานดี ก่อนที่ผมจะประกาศลาออกตอนช่วงกลางปี 2019

คูรทำอะไรต่อหลังจากนั้น?

   ผมไปเรียน โปร ไลเซ่นส์ ต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งก็จบหลักสูตรกลับมาด้วยดี ก่อนจะมีข้อเสนอจาก ไทยลีก อีกครั้ง

ข้อเสนอที่ว่านั้นคือ?

   เชียงใหม่ เอฟซี แต่เป็นช่วงท้ายฤดูกาลแล้วนะ เพราะตอนนั้นภารกิจคือต้องพาทีมรอดตกชั้นให้ได้ แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ

แต่คุณก็ช่วยหยุด บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเกมสุดท้าย ก่อนที่ เชียงราย ยูไนเต็ด จะเป็นแชมป์ในปี 2019?

   มันเป็นจังหวะของฟุตบอลมากกว่า คือเราก็เต็มที่ในทุกๆ เกมอยู่แล้ว 

แม้จะไม่สำเร็จกับ เชียงใหม่ เอฟซี แต่คุณก็ยังได้ความเชื่อใจจาก สุโขทัย เอฟซี?

   ถูกต้อง ผมได้รับการติดต่อเข้ามา และมันคือความท้าทายสำหรับตัวผมเอง แต่ที่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่ตัวผมผิดหวังมากๆ เพราะเป็นอีกครั้งที่ผมไม่สามารถทำทีมให้อยู่รอดปลอดภัยใน ไทยลีก ได้ตามเป้าหมาย

เพราะอะไรจึงเป็นอย่างนั้น?

   มันคือฤดูกาล 2020-21 เลกแรกเรายังอยู่เลขตัวเดียว มี 20 แต้ม ซึ่งจากสถิติ ขออีกแค่ 12 แต้ม (รวมเป็น 32 คะแนน) ก็น่าจะรอดแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นซีซั่นที่มีเรื่องของโควิด-19 รวมไปถึงผู้เล่นต่างชาติของเราบาดเจ็บและต้องพักยาว แถมการซื้อ-ขายนักเตะก็ทำได้ยาก สุดท้ายผมจึงไม่อาจช่วยให้ สุโขทัย อยู่รอดใน ไทยลีก ได้สำเร็จ

มันคือความล้มเหลวของคุณเลยหรือเปล่า?

   จะบอกว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะผมเองก็ตั้งเป้ากับตัวเองไว้สูงและพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำทีมให้ผลงานดีที่สุด แต่มันคนละเรื่องกันเลย ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่ย่ำแย่ของชีวิตจริงๆ แต่จะไปโทษหรืออ้างเหตุผลอื่นไม่ได้ เราต้องโทษตัวเอง เราเป็นโค้ช เมื่อผลงานไม่ดี เราต้องรับผิดชอบคนเดียว ผมจึงตัดสินใจลาออก ถึงแม้จะมีสัญญาอยู่อีก 1 ปีก็ตาม

แล้วกับ เชียงใหม่ ยูไนเต็ด ล่ะ?

   ผมคุมทีมได้แค่ 7 เกม แต่ก็มีผลงานที่อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่น่าพอใจเท่าไหร่ เพราะเพิ่งจะเริ่มฤดูกาล 2021-22 แต่พอเล่นๆ ไป ผมรู้สึกว่าน่าจะมีคนที่ทำได้ดีกว่า เลยขอแยกทางกับสโมสรในที่สุด

จบจาก เชียงใหม่ ยูไนเต็ด แล้วคุณก็หายหน้าไปเลยเป็นปี?

   ผมอยู่บ้านอย่างเดียวเลย น่าจะราวๆ 1 ปี กับอีก 3 เดือน ที่ผมไม่ได้ข้องเกี่ยวกับวงการฟุตบอลเลย แต่ก็ดูผ่านทางโทรทัศน์ตลอดนะ ทั้ง ไทยลีก หรือลีกต่างประเทศ แต่มันคือช่วงเวลาที่ได้กลับมาทบทวนตัวเอง ซึ่งเราก็ได้อะไรดีๆ จากตรงนี้มาเยอะนะ

ได้อย่างไรบ้าง?

   คือเมื่อก่อนผมเป็นคนชอบสังสรรค์ แต่พอกลับมาอยู่กับตัวเอง อยู่กับครอบครัว มันทำให้เราคิดอะไรได้เยอมาก เชื่อไหม ตอนนี้ผมหันมาทางธรรมมากขึ้น สวดมนต์ ทำสมาธิ แล้วก็ทำแบบนี้ทุกวันมาเป็นปีแล้ว

โอ้โห...เปลี่ยนไปเยอะมาก...

   ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้จากโค้ชโจ (ธีระศักดิ์ โพธิ์อ้น) เพื่อนสนิทของผมอีกคนหนึ่ง เขาทำแบบนี้มานานมากๆ แล้ว ก็เลยแนะนำให้ผมลองดู พอผมทำตาม ช่วงแรกๆ มันก็ขัดๆ เขินๆ อยู่บ้าง แต่พอนานวันเข้า อะไรต่อมิอะไรก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ที่ว่าอะไรต่อมิอะไรดีขึ้นคือเรื่องไหนบ้าง?

   ข้อแรกเลยคือเรามีเวลามากขึ้น ตื่นเช้า ตี 5 ครึ่งผมก็ตื่นมาเตรียมอาหารให้ภรรยาและลูกๆ จากนั้นก็ส่งลูกไปโรงเรียน กลับมาบ้านก็รดน้ำต้นไม้ จากนั้นก็สวดมนต์-นั่งสมาธิ พอได้ทำเรื่อยๆ ได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น ใจจเราก็สงบ ความคิดก็นิ่ง ความสุขก็ค่อยๆ เข้ามา

ไม่เบื่อบ้างเหรอ เพราะตัวคุณอยู่กับฟุตบอลมาตอลอดชีวิต แต่จู่ๆ ก็หายไป?

   ตอนแรกๆ ก็มีบ้างแหละ แต่อย่างที่บอกไป พอผมเริ่มเข้าทางธรรม อะไรๆ ก็เข้าที่เข้าทาง จนผมเคยมีความคิดว่าจะเลิกเป็นโค้ชแล้ว

อะไรนะ!! ถึงขั้นเลิกเป็นโค้ชเลยเหรอ?

    ใช่ เพราะตอนนั้นสามารถจัดการกับชีวิตตัวเองได้แล้ว ได้ดูแลลูก ซึ่งก่อนหน้านี้ตัวผมทำทีมอยู่ต่างจังหวัดตลอด 3-4 ปี ไม่ค่อยได้ดูแลเขา พอได้อยู่บ้าน เราก็มีความสุข ถึงแม้จะไม่ทำงาน เราก็ใช้จ่ายเท่าที่มี มีเท่าไหร่ ใช้เท่านั้น ผมกับครอบครัวไม่ได้เดือดร้อนและไม่ไปเบียดเบียนใคร ถ้าเราคิดบวกเป็น ชีวิตก็มีความสุข  

คือไม่ได้ดูฟุตบอลเลย?

   ถามว่ายังดูฟุตบอลอยู่ไหม ฟุตบอลไทยดูเกือบทุกคู่ ได้มาเป็นคนดูบ้าง ก็สนุกดี ได้ดูระบบ ดูแท็กติกของแต่ละทีมว่าเล่นกันยังไง แต่เรื่องตำราที่เคยทำเอาไว้ตอนทำงาน เชื่อไหว่าผมไม่เคยหยิบมาดูเลย เรียกได้ว่าช่วงนั้นทิ้งเลยล่ะ

แต่ก็ต้องมีบ้างใช่ไหมที่สโมสรในเมืองไทย ติดต่อเข้ามา?

   ประหว่างนั้นก็มีทีมติดต่อมาเรื่อยๆ แต่เราก็ปฏิเสธไปตลอด

เพราะอะไรถึงไม่ปฏิเสธ การท่าเรือ?

   ต้องเล่าอย่างนี้ก่อน คือทาง การท่าเรือ ติดต่อมาทางโค้ชอู๊ดและโค้ชโชค (โชคทวี พรหมรัตน์) ว่าอยากให้มาทำทีมคู่กับโค้ชโชค ตอนแรกๆ ผมก็ลังเล แต่พอได้คุยกับคุณแป้ง (นวลพรรณ ล่ำซำ) กับคุณเอ (พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์) ผมแทบจะตอบตกลงทันที เพราะวิสัยทัศน์ของท่านทั้งสองคือทำฟุตบอลด้วยใจรักจริงๆ

ช่วยขยายความตรงนี้หน่อย...

   คือคุณแป้งและคุณเออยากจะพัฒนาวงการฟุตบอลไทย ในหลายๆ มิติ อยากจะยกระดับของ ไทยลีก ให้สูงขึ้นในทุกๆ ไป เพื่อที่จะนำความสุขมาให้แฟนๆ ไม่ใช่แค่ การท่าเรือ แต่แฟนๆ ทั้งประเทศที่มีใจรักฟุตบอลเหมือนๆ กัน

แล้วการทำงานเป็น 'โค้ชคู่' อึดอัดไหม?

   ไม่เลยนะ การทำงานร่วมกับโค้ชโชค อย่างแรกเลย ผมเป็นรุ่นน้องของเขาตั้งแต่กรุงเทพคริสเตียน เรารู้จักสนิทสนมกันดีอยู่แล้ว แม้จะไม่เคยทำงานร่วมกัน แต่พอมาทำร่วมกัน ก็คุย ก็ปรึกษากันตลอด ทั้งเรื่องแผนของการฝึกซ้อมต่างๆ ที่เราจะเจอคู่ต่อสู้ ทำให้เราช่วยกันคิด เอาจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละคนมาปรับให้เข้ากันเพื่อทำให้ทีมดีและประสบความสำเร็จ 

การท่าเรือ คือสโมสรใหญ่ที่มาพร้อมความคาดหวัง คุณกดดันหรือเปล่าที่เข้ามารับงานนี้?

   การได้มาทำทีม การท่าเรือ กดดันแน่นอน เพราะที่นี่คือสโมสรที่ยิ่งใหญ่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มีแฟนๆ ที่ยอดเยี่ยม มันคือเกียรติสำหรับผมที่ได้เป็นโค้ชของ การท่าเรือ ซึ่งตัวผมคิดไว้เสมอว่าเรากลับมาทำงานแล้ว เรากลับมามีไฟแล้ว ทุกวันนี้เช้าตื่นมา เริ่มทำงานเลย วางแผนล่วงหน้า เขียนโปรแกรม คิดแบบฝึก เพื่ออยากเอาไปพัฒนาทีมให้ดีขึ้นและให้ทีมประสบความสำเร็จที่สุดตามที่ทุกฝ่ายคาดหวังเอาไว้


ที่มาของภาพ : siamsport
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport