บทใหม่ของช้างศึก ภายใต้ชื่อ 'แอนโธนี่ ฮัดสัน'

บทใหม่ของช้างศึก ภายใต้ชื่อ 'แอนโธนี่ ฮัดสัน'
ในวันที่เสียงเพลงชาติไทย ดังขึ้นที่ ราชมังคลากีฬาสถาน หลายคนอาจรู้สึกเหมือนเดิม แต่บางสิ่งกำลังเปลี่ยนไป...

บนม้านั่งสำรองของทัพช้างศึก ไม่ใช่ชายชาวญี่ปุ่น ผู้เคร่งขรึม หากแต่เป็นหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างสูงเชื้อสายอังกฤษ ในสูทเข้ม ผู้มีดวงตาเปี่ยมด้วยพลังที่ชื่อ แอนโธนี่ ฮัดสัน

การเปลี่ยนผ่านจาก มาซาทาดะ อิชิอิ มาสู่ ฮัดสัน ไม่ใช่แค่เรื่องของตำแหน่งโค้ช แต่มันคือการเปลี่ยนแนวคิดที่จะกำหนดทิศทางของฟุตบอลไทย ในระยะยาว

ก่อนหน้านี้ ภายใต้การคุมทีมของเทรนเนอร์จากดินแดนอาทิตย์อุทัยเน้นไปที่ผลการแข่งขัน เล่นตามแท็กติกอย่างเคร่งครัด และสามารถสร้างผลงานได้เป็นที่ประจักษ์อยู่พอสมควร

เสมอ ซาอุดีอาระเบีย, เสมอ เกาหลีใต้, เข้ารอบน็อกเอาต์ เอเชียน คัพ 2023 - แต่ในสายตาของแฟนๆ มันไม่ใช่ฟุตบอลไทย ที่เราคุ้นเคย

ไม่มีความกล้า ไม่มีสีสัน และที่สำคัญไม่มีอารมณ์ร่วม

ทีมชาติไทย ในยุคนั้นเหมือนเครื่องจักรที่ทำงานได้ตรงเวลา แต่ไร้ประกายบางอย่างที่เรียกว่าจิตวิญญาณช้างศึก

สิ่งหนึ่งที่ทำให้แฟนๆ เริ่มตั้งคำถามกับ อิชิอิ คือการเมินนักเตะมากประสบการณ์อย่าง ธีราทร บุญมาทัน และ ธีรศิลป์ แดงดา

แม้ทั้งคู่จะยังมีศักยภาพและร่างกายที่เล่นในระดับสูงได้ แต่กุนซือชาวญี่ปุ่น กลับเลือกสร้างทีมโดยให้เหตุผลว่า "ต้องการให้คนรุ่นใหม่รับช่วงต่อ"

ทว่าผลงานกลับไม่ตอบโจทย์ เมื่อเกมรุกขาดจินตนาการ เกมรับเปราะบาง และบ่อยครั้งที่ทีมดูขาดผู้นำในสนาม

จนถึงจุดที่แฟนบอลต้องถามกันตรงๆ ว่าทีมชาติไทย จะเดินต่ออย่างไร หากไร้หัวใจของคนที่เคยผ่านทุกสมรภูมิ?

เสียงเรียกร้องให้เรียกนักเตะรุ่นพี่กลับมาช่วยทีมดังขึ้นทุกวัน แต่คำตอบของ อิชิอิ คือความเงียบเช่นเคย

จนในที่สุด เขาต้องจากไปพร้อมเครื่องหมายคำถามมากมาย

จากเถ้าถ่านของความไม่แน่ใจ บทใหม่ของฟุตบอลไทย เริ่มต้นอีกครั้งกับกุนซือวัย 44 ปีผู้มีประสบการณ์ระดับนานาชาติ - ฮัดสัน อดีตเฮดโค้ชทีมชาติสหรัฐอเมริกา, บาห์เรน และนิวซีแลนด์ ผู้มาพร้อมปรัชญาฟุตบอลที่เน้นการบุกอย่างมีระบบ

เมื่อรายชื่อทีมชาติไทย ชุด ฟีฟ่า เดย์ เดือนพฤศจิกายน 2025 ที่จะอุ่นเครื่องกับสิงคโปร์ ต่อด้วยบุกเยือนศรีลังกา ชี้ชะตา เอเอชียน คัพ 2027 ได้ถูกประกาศออกมา

เสียงปรบมือก็ดังก้องในโลกออนไลน์ เพราะชื่อที่ทุกคนรอคอยกลับมาแล้ว

ธีรศิลป์, ธีราทร, สารัช อยู่เย็น และ เควิน ดีรมรัมย์ ทั้งหมดกลับมาอีกครั้งในสีเสื้อช้างศึก หลังจากถูกมองข้ามมานานเกินไป

แต่ที่ทำให้แฟนๆ ตื่นเต้นที่สุด คือการเรียกตัว จู๊ด เบลล์ ศูนย์หน้าลูกครึ่งไทย-อังกฤษ อดีตเด็กปั้นของ สเปอร์ส และ เชลซี ที่ติดโผเป็นหนแรก

การมาของหัวหอก กริมส์บี้ ทาวน์ ไม่ใช่แค่เรื่องของทักษะในสนาม แต่มันคือสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ยุคที่ทีมชาติไทย เริ่มกล้าหยิบศักยภาพจากทั่วโลกเข้ามารวมเป็นหนึ่งเดียว

ภาพรวมของทีมในยุค ฮัดสัน จึงเริ่มมีกลิ่นอายของความหวังอีกครั้ง

ความสมดุลระหว่างพลังหนุ่มและประสบการณ์เก๋าถูกนำมาผสมอย่างมีจังหวะ 

เขาไม่ยึดติดกับระบบใดระบบหนึ่ง แต่เน้นให้ผู้เล่นกล้าเล่น, กล้าเสี่ยงและกล้าแสดงออก

สิ่งที่ ฮัดสัน พยายามสร้าง คือบรรยากาศในทีมที่ผ่อนคลายแต่จริงจัง นักเตะยิ้มได้เวลาซ้อม แต่ต้องจริงจังเมื่อถึงเกมการแข่งขัน

เขาใช้จิตวิทยาเป็นอาวุธสำคัญ กระตุ้นลูกทีมด้วยคำพูดสั้นๆ แต่กินใจและที่สำคัญ เขารู้วิธีที่จะรับฟังนักเตะ มากพอๆ กับการสั่งนักเตะให้ทำตามแท็กติกที่วางไว้

นี่คือสิ่งที่แตกต่างจากยุค อิชิอิ อย่างชัดเจน

จากทีมที่เคยขยับตามคำสั่งแบบอัตโนมัติ กลายเป็นทีมที่เริ่มเล่นด้วยใจตัวเองอีกครั้ง

แน่นอนว่า เส้นทางของ ฮัดสัน ยังไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบ การขาดชื่อของ โจนาธาร เข็มดี เซนเตอร์ฮาล์ฟฟอร์มร้อนแรงจาก ไทยลีก กลายเป็นประเด็นที่ทำให้เขาต้องตอบคำถามมากมาย

กุนซือชาวอังกฤษ ให้เหตุผลว่า 'ติดปัญหาเรื่องเอกสาร' แต่ในมุมแฟนๆ หลายคนยังคาใจ เพราะก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเรื่องนี้เกิดขึ้นมาก่อน

ทว่าในเกมฟุตบอล สิ่งสำคัญไม่ใช่การตอบทุกคำถามให้หมดจด แต่คือการแสดงให้เห็นว่าคุณจะจัดการกับคำถามเหล่านั้นอย่างไรในสนาม และนั่นคือสิ่งที่ ฮัดสัน ต้องพิสูจน์ในเกมแรกๆ ที่จะมาถึง

ฟุตบอลทีมชาติไทย ในวันนี้ อาจยังห่างไกลจากคำว่าสมบูรณ์แบบ แต่สิ่งที่กลับมาแน่ชัดแล้ว คือความรู้สึกของแฟนๆ ความรู้สึกที่อยากดู, อยากเชียร์และอยากเห็นทัพช้างศึกลุกขึ้นสู้ด้วยหัวใจอีกครั้ง

ฮัดสัน ไม่ได้เข้ามาเพื่อเปลี่ยนแค่แท็กติก แต่เพื่อเปลี่ยนความเชื่อว่าช้างศึกยังมีวันกลับมาผงาดได้ หากทุกฝ่ายร่วมกันเดินไปในทางเดียวกัน

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ฟุตบอลทีมชาติ ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง หากแต่มันเป็นของเราทุกคน ที่อยากเห็นธงไตรรงค์โบกสะบัดอย่างภาคภูมิอีกครั้ง

นั่นคือสิ่งที่ “แอนโธนี่ ฮัดสัน” ต้องแบกรับไว้บนบ่าตั้งแต่วันนี้

บทใหม่ของช้างศึก ภายใต้ยุค ฮัดสัน คือเรื่องราวที่เพิ่งเริ่มต้น

เราทุกคน คือส่วนหนึ่งของบทนี้

แต่มันจะไปได้ไกลเพียงใด ผลงานในสนามเท่านั้นจะให้ทุกคำตอบเอง



ที่มาของภาพ : -
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport