นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของเกมฟุตบอล นี่คือเรื่องราวของการวางรากฐานที่มั่นคง ความอดทนเยี่ยงขุนเขา และวิสัยทัศน์ที่แผ่กว้างไปไกลสุดขอบฟ้า
มันคือภาพสะท้อนที่บาดลึกเข้ามาในห้วงความคิดของคนไทยที่รักฟุตบอลอย่างเราๆ ภาพของ "ความจริง" ที่หลายคนเลือกจะเบือนหน้าหนี!
วันที่ ญี่ปุ่น เปิดบ้านต้อนรับแชมป์โลก 5 สมัยอย่าง บราซิล แล้วคว้าชัยชนะมาได้อย่างยิ่งใหญ่ 3-2 ในเกมอุ่นเครื่อง
เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนบอลไทยบางส่วนกลับสวนทางมาอย่างเย็นชา...
"อุ่นเครื่องเอง จะอะไรกันนักหนา?" "ก็แค่ฟลุ๊ค!" หรือ "ขนาดแชมป์เอเชียยังได้น้อยเลย?"
น้ำเสียงเหล่านั้นสะท้อนถึงการ "ด้อยค่า" ความสำเร็จของผู้อื่น และเป็นการ "ลดทอน" ความฝันของตัวเองไปพร้อมๆ กัน มันคือการปฏิเสธที่จะเห็น "เมล็ดพันธุ์" ที่ญี่ปุ่นหว่านไว้เมื่อหลายสิบปีก่อน
ลองพิจารณารายชื่อผู้เล่น 11 ตัวจริงของญี่ปุ่นในเกมนั้นดูสิครับ นักเตะที่มาจากทวีปยุโรป ทั้งหมด!
นี่คือผลผลิตของการวางแผนอย่างเป็นระบบ การผลักดันนักเตะให้ออกไปเผชิญหน้ากับความท้าทายที่สูงที่สุดในโลกฟุตบอล นั่นคือการแข่งขันในลีกยุโรป ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความเป็นเลิศ
ในขณะที่ญี่ปุ่นมีนักเตะหลักปักฐานอยู่ในลีกชั้นนำทั่วยุโรป มีการสร้างความเคยชินกับฟุตบอลระดับโลกตั้งแต่วัยหนุ่มน้อย
แต่ทีมชาติไทยของเรากลับมีนักเตะที่ได้ไปสัมผัสประสบการณ์เหล่านั้น "น้อยมาก" และมักถูกดึงกลับด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
นี่คือความต่างที่อยู่เหนือกว่าแค่แท็กติกหรือฝีเท้า แต่มันคือโครงสร้างของอุตสาหกรรม และวัฒนธรรมการพัฒนา?
ญี่ปุ่นไม่ได้เพิ่งคิดจะมาเก่ง พวกเขามีโปรเจกต์ "Dream" ที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า
เราจะเป็นเจ้าภาพและแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2050 เป้าหมายนี้คือการมองไกลข้ามช็อต ไม่ใช่การมองแค่แชมป์ในภูมิภาคที่ตัวเองเป็นเจ้าครองอยู่แล้ว
พวกเขาไม่ได้มองแค่การชนะบราซิลในเกมอุ่นเครื่อง แต่มองว่าชัยชนะเหล่านั้นคือตัวชี้วัดความก้าวหน้า บนเส้นทางสู่ปี 2050!
ชัยชนะเหนือแชมป์โลกและมหาอำนาจฟุตบอลอย่าง สเปน, เยอรมนี, อุรุกวัย, และล่าสุดบราซิล คือเครื่องพิสูจน์ว่าพวกเขากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
คำถามต่อมา แล้วคนไทยเราล่ะครับ อยู่ตรงไหน?
สิ่งที่น่าเจ็บปวดกว่าความพ่ายแพ้ในสนาม คือความพ่ายแพ้ใน "ทัศนคติ" และ "ความอดทน"
เมื่อทีมชาติไทยของเราแพ้ สิ่งที่ตามมาคือการเรียกร้องให้ เปลี่ยนโค้ช, การด่าทอนักเตะ, การก่นด่าสมาคม หรือสารพัดความไม่พอใจที่หลั่งไหลออกมาอย่างรวดเร็วราวกับน้ำป่า
เราอดทนไม่เป็น เราต้องการผลลัพธ์สำเร็จรูป เราไม่ยอมรับกระบวนการที่ต้องใช้เวลาหลาย 10 ปี เหมือนที่ญี่ปุ่นทำ
ในรายการฟุตบอลเยาวชนของญี่ปุ่น พวกเขาไม่เน้นแชมป์ แต่เน้นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ให้เด็กได้เรียนรู้ความผิดพลาดและการพัฒนา
แต่ในวงการฟุตบอลเด็กไทย ต้องแชมป์เท่านั้น! ชัยชนะระยะสั้นถูกยกย่อง เหนือกว่าการพัฒนาในระยะยาว และความคิดที่เน้น "แชมป์ในประเทศ" หรือ "แชมป์อาเซียน" เป็นเป้าหมายสูงสุด ก็สะท้อนกรอบความคิดที่ถูกจำกัดไว้ในพื้นที่เล็กๆ
ญี่ปุ่นไม่สนแชมป์เอเชีย (เพราะเคยเป็นแชมป์มาแล้ว 4 สมัยมากสุดในเอเชีย) เพราะเป้าหมายของพวกเขาคือ "เวทีโลก" ดังนั้น การอุ่นเครื่องแต่ละครั้งจึงต้องเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งระดับโลกเท่านั้น เพื่อทดสอบขีดจำกัดของตัวเองอย่างแท้จริง
ความจริงก็คือความจริง มันไม่ใช่เรื่องของการรักชาติน้อยกว่า ถ้าเรายอมรับความจริงข้อนี้ เราต้องยอมรับว่า "รากฐาน" ของเรายังสู้เขาไม่ได้จริงๆ และการที่เราคนไทยบางส่วนพยายาม ด้อยค่าความสำเร็จของญี่ปุ่นนั้น ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย!
ญี่ปุ่นสอนให้เรารู้ว่า การสร้างความยิ่งใหญ่ต้องใช้เวลา ความพ่ายแพ้ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็น "บทเรียน" ที่จะนำไปสู่ชัยชนะในวันข้างหน้า พวกเขาสร้างมาหลาย 10 ปี ผ่านความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยยอมแพ้ต่อวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่
หากเราอยากไปถึงจุดนั้น เราต้องเริ่มจากการเปิดใจยอมรับความจริง, อดทนต่อความพ่ายแพ้, และเปลี่ยนจากการมองหา แชมป์ในระยะสั้น มาเป็นการมองหา รากฐานที่มั่นคง และวิสัยทัศน์ระดับโลก ในระยะยาว
เหมือนที่ "ซามูไรบลูส์ " ชุดสีน้ำเงินกำลังเดินไปอย่างเงียบๆ และมั่นคง!
-กอล์ฟ เบนเทเก้-