อินโดนีเซียตกกำแพงฟุตบอลโลก.. มีเสียงหัวเราะเย้ยหยันตามมาในโลกโซเชียล
"ฝรั่งปลอมเกรด C"
"โอนมั่วขนาดนี้"
"เอาฝรั่งมาเตะมีอะไรให้ภูมิใจบ้างบอกหน่อย"
"อินโดร่างดัตช์ เดี๋ยวก็คงมีมาเลย์บริติช สิงคโปร์บริติช ฟิลิปินส์สแปนิช เวียดฟร้องซ์ ลากสายเชื่อมโยงญาติโกโหติกามาจากอดีตเจ้าอาณานิคมมาเล่นยกทีม"
"ไร้ศักดิ์ศรี"
"สมควรแล้ว"
"สะใจ"
อันที่จริงการมีสิทธิ์ในเรื่องสัญชาตินักฟุตบอลนั้นไม่ได้มอบให้เฉพาะเจาะจงกับประเทศใดประเทศหนึ่งหรือว่าชาติใดชาติหนึ่ง
การใช้สิทธิ์ตามที่ตัวเองพึงมีนั้นคือสิ่งที่ทุกสมาคมฟุตบอลสามารถทำได้
ตราบใดที่ไม่ใช่การปลอมแปลงเอกสาร ไม่ใช่การฉ้อฉลด้วยกลลวง ไม่ใช่การขี้โกงหยิบจับสับเปลี่ยนข้อเท็จจริง ทุก ๆ ทีมชาติมีสิทธิ์ทำได้
แล้วถ้านักฟุตบอลคนนั้น ๆ มีสายเลือดของชาตินั้น ๆ อยู่ในตัวครึ่งหนึ่ง หรือเสี้ยวหนึ่ง ถ้าเต็มใจโดยปราศจากการถูกหลอกลวงหรือบังคับขู่เข็ญ เขาย่อมมีสิทธิ์รับใช้แผ่นดินพ่อแผ่นดินแม่หรือแผ่นดินของปู่ย่าตายายของเขา
อินโดนีเซีย ใช้นักเตะลูกครึ่งและลูกเสี้ยว ทุกคนในทีมชุดล่าสุดมีเชื้อสายอินโดฯ อยู่ในตัว (ยกเว้น มาร์ค คล็อก กองกลางคนเดียวที่ได้สิทธิ์จากการโอนสัญชาติหลังจากเล่นฟุตบอลในอินโดนีเซียถึง 5 ปีตามเกณฑ์) ก็จะเป็นข้อเท็จจริงคนละกรณีกับการมอบสัญชาติให้คนต่างชาติแท้ ๆ ได้สิทธิ์ถือสัญชาติหากเงื่อนไขครบ
มันจึงมีความแตกต่างกันอยู่ระหว่างการเสาะหาลูกครึ่งลูกเสี้ยวที่มีเชื้อสายทางพ่อแม่หรือปู่ย่าตายาย กับการโอนสัญชาติ แต่ทั้ง 2 กรณีเป็นสิทธิ์ที่ทุกทีมสามารถทำได้ทั้งสิ้น เพราะการโอนสัญชาติ นักเตะคนนั้น ๆ ก็ต้องใช้ชีวิตในประเทศนั้น ๆ ถึงระยะเวลาหนึ่งที่นานพอและเหมาะสมพอเช่นกัน
เสียงหัวเราะเยาะของเราบางคนที่มีต่ออินโดนีเซียมาจากความเข้าใจที่ผิด ไปตราหน้าเขาว่าเอาแต่โอนสัญชาติทั้งที่ความจริงแล้วเขาก็สรรหาและชักชวนลูกหลานของตัวเองนั่นแหละมารับใช้บ้านเกิดของพ่อแม่
บางคนตอบรับ บางคนปฏิเสธ ก็พยายามเสาะแสวงหากันต่อไป
นโยบายใครนโยบายมัน หลายประเทศเลือกใช้นโยบายนี้ และมีความได้เปรียบบางด้านจากประวัติศาสตร์ที่เคยเป็นอาณานิคมกันมาก่อน
จาเมกา ดำเนินนโยบายนี้มาพักใหญ่แล้ว ด้วยมาตรฐานฟุตบอลในประเทศที่ยังล้าหลัง พวกเขาเดินหน้าหานักฟุตบอลในอังกฤษที่มีเชื้อสายจากพ่อแม่และปู่ย่าตายาย ชักชวนให้มาเล่นกับทีมเร้กเก้บอยซ์
เป็นทางลัดไหม.. ใช่ แต่ผิดกฎไหม.. ไม่เลย พวกเขามีสิทธิ์ทำได้
16 จาก 27 คนที่ถูกเรียกติดทีมชาติทำศึกคัดบอลโลกโซนคอนคาเคฟรอบล่าสุดจึงค้าแข้งในอังกฤษ หลาย ๆ คนเกิดในอังกฤษ เหมือนหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา
นักเตะที่เราคุ้นชื่อคุ้นหูอย่าง เดมาราย เกรย์, อีธาน พินน็อค, บ๊อบบี้ รีด หรือ เมสัน โฮลเกต ก็เกิดในอังกฤษแต่เลือกเล่นให้จาเมกา หรือย้อนไปก่อนนั้น มิคาอิล อันโตนิโอ อดีตหัวหอกเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก็ใช่
แน่นอนครับเรื่องความภาคภูมิใจในชาติคือสิ่งที่อยู่ในความรู้สึกของเรา แต่โลกวันนี้เต็มไปด้วยผู้คนเชื้อชาติผสมผสานด้วยโลกเปิดกว้างสำหรับการกระจายตัวของผู้คนชาติต่าง ๆ มากขึ้น ไม่นับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับคนในชาติอาณานิคมที่ไขว่คว้าหาโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าเดิม เดินทางไปลงหลักปักฐานและสร้างเนื้อสร้างตัวในชาติที่เป็นเจ้าอาณานิคมของคนรุ่นปู่ย่าตาทวด
แต่คนจาเมกาไปทำมาหากินที่อังกฤษก็ยังมีเชื้อสายจาเมกา คนฟิลิปปินส์ที่ไปใช้ชีวิตในสเปนก็ยังคงมีเชื้อสายฟิลิปปินส์ คนแอลจีเรียที่ไปปักหลักในฝรั่งเศสก็ยังมีเชื้อสายแอลจีเรีย
คนไทยที่ไปมีครอบครัวในต่างแดน ก็ยังเป็นคนไทย ทายาทที่กำเนิดมามีสายเลือดไทยอยู่ในตัว
บางคนบอกว่าจะดึงมาเล่นก็ดึงมาเล่นสิ แต่เอาแค่พอเหมาะไหม เอามาทั้งทีมแบบนี้มันน่าเกลียด ไม่เปิดโอกาสให้คนที่มีสายเลือดร้อยเปอร์เซนต์ได้รับใช้ชาติเลยหรือ
ปัญหาอยู่ที่ตรงนี้ล่ะครับ คำว่า "เอาแค่พอเหมาะ" นั้นอยู่ตรงไหน มีอะไรเป็นเกณฑ์วัด
ห้ามเกิน 3 คน หรือ 5 คน หรือห้ามเกินครึ่งทีม หรือว่า 3 ใน 4 ถ้ามากกว่านั้นถือว่าไม่เหมาะสม ไม่มีอะไรน่าภูมิใจ ไปถึงไร้ศักดิ์ศรี
ผมคิดว่าเรื่องนี้แต่ละคนย่อมมีมุมมองของตัวเอง เรื่องชาติเป็นความรู้สึกร่วม มันมีความผูกพันกับมาตุภูมิ ผูกพันกับแผ่นดินที่เกิดและเติบโต แผ่นดินที่ให้อาหาร ให้น้ำ ให้ชีวิต
เกิดและโตในอินโดนีเซีย ในบังคลาเทศ ในเยเมน ในเซเนกัล หรือในที่ใด ๆ คนในชาติย่อมมีความภูมิใจบางอย่างร่วมกันที่คนที่เกิดบ้านอื่นเมืองอื่นไม่อาจสัมผัสหรือรับรู้ได้เต็มที่
ด้วยความห่างไกล ด้วยสังคมที่ต่าง ด้วยวัฒนธรรมที่ผิดแผก ด้วยคุณภาพชีวิตที่หลากหลาย เรื่องราวดีร้ายหรือเหตุการณ์ทั้งหลายก็ไม่เหมือนกันด้วยเป็นคนละประเทศ
มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่มีใครผิด ไม่มีใครถูก เด็กลูกครึ่งที่เกิดเมืองนอกก็คงไม่ได้ผิดอะไรถ้าเขาจะเข้าไม่ถึงความภูมิใจร่วมกันของคนในชาติที่อยู่อีกฟากหนึ่งของโลกอย่างเต็มที่
ถ้าจะมีเด็กลูกครึ่งหรือลูกเสี้ยวไทยบางคนซึ่งเกิด เติบโต และศึกษาเล่าเรียนในสวีเดน สหรัฐฯ ออสเตรเลีย หรือประเทศไหน ๆ ที่ไม่ได้ตื่นเต้นดีใจกับเหรียญทองโอลิมปิกของ สมรักษ์ คำสิงห์ หรือ พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ เท่าคนไทยทั้งประเทศ มันก็คงไม่ผิดเพราะทั้งชีวิตของเขาอยู่ที่เมืองนอก สภาพแวดล้อมและการรับรู้รอบตัวคือเมืองนอก
แต่เราจะไปตัดสินได้อย่างไรว่าเด็กที่เกิดเมืองนอกเหล่านั้นจะไม่อินกับความเป็นไทยแน่ ๆ ตรงกันข้ามหลายคนอาจรักและภูมิใจในความเป็นไทยยิ่งกว่าคนไทยแท้ ๆ บางคนเสียอีกก็เป็นได้
แล้วถ้าวันหนึ่งเขาที่มีหน้าตาออกฝรั่งผมทองแต่มีเลือดไทยในตัวครึ่งหนึ่งจะก้าวเข้ามาอย่างเต็มใจ ประกาศตัวว่ายินดีรับใช้ชาติไทย ด้วยสิทธิ์ที่เขามีอยู่เต็มเปี่ยม เราจะกีดกันเขาไหมว่าเขาไม่ใช่ไทยร้อยเปอร์เซนต์
ผมคิดว่าจะอย่างไรเรื่องการดึงนักเตะลูกครึ่งและลูกเสี้ยวของอินโดนีเซียย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ไม่เพียงแค่พวกเราหรือเพื่อนบ้านเราหรือคนชาติอื่น ๆ เท่านั้นหรอก กระทั่งคนในประเทศเขาเองก็ยังอาจจะมีข้อถกเถียงเช่นกัน
อย่างที่บอกนั่นล่ะครับว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนหลัก 2-3 ร้อยล้านคนจะมีมุมมองแบบเดียวกัน
ส่วนหนึ่งของพวกเขาก็อาจไม่เห็นด้วย ส่วนหนึ่งอาจไม่สบายใจ ส่วนหนึ่งอาจอ้าแขนรับด้วยความยินดี
สุดท้ายมันก็วนกลับมาที่เรื่องนโยบายของสมาคมฟุตบอล ณ เวลานั้น ๆ.. นโยบายใคร นโยบายมัน ตราบใดที่ไม่ใช่การปลอมแปลงเอกสาร ไม่ใช่การฉ้อฉลด้วยกลลวง ทุก ๆ ทีมชาติมีสิทธิ์ทำได้ตามกฎเกณฑ์ที่สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (FIFA) อนุญาต
บางชาติใช้เต็มที่ บางชาติใช้แบบเรื่อย ๆ ตามโอกาสที่มาถึง บางชาติก็ปล่อยเฉย
เพราะแต่ละชาติ ย่อมมีเงื่อนไขและความต้องการที่แตกต่างกันไป ทีมอย่างเยอรมัน สเปน บราซิล อาร์เจนติน่า ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือชาติใหญ่ ๆ ของวงการคงไม่ต้องดิ้นรนเสาะหานักเตะลูกครึ่งที่เกิดและโตในประเทศอื่นมาเติมทีมให้เต็มหรอก
กับ อินโดนีเซีย ถ้าจะลองสังเกตเพิ่มเติมดูอีกสักหน่อย นอกเหนือจากเรื่องสิทธิ์การหานักเตะลูกครึ่งที่สามารถทำได้ตามกฎแล้ว พวกเขาในเวลานี้ยังมีส่วนผสมที่น่าสนใจไม่น้อย
ในทีมชุดทำศึกคัดบอลโลกกับซาอุดีอาระเบียและอิรักรอบนี้ มีนักเตะถึง 9 คนที่ค้าแข้งในลีกอินโดนีเซีย อีก 2 คนเล่นกับสโมสรในไทยลีก และอีก 1 คนเล่นในลีกบรูไน
แกนหลักยังคงเป็นนักเตะลูกครึ่งจากลีกยุโรป แต่อินโดนีเซียค่อย ๆ ขยับเติมตัวเลือกจากนักฟุตบอลในประเทศเข้ามา
ส่วนหนึ่งเป็นนักเตะลูกครึ่งที่กลับมาเล่นในลีกอินโดนีเซีย แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นนักเตะท้องถิ่น เกิดและโตในอินโดนีเซีย
ริซกี้ รีโด กับ ริคกี้ คัมบัวย่า ตัวหลักในทีมชาติชุดนี้ก็เกิดในอินโดนีเซีย เล่นฟุตบอลในอินโดนีเซีย
มีกลุ่มลูกครึ่งที่ผ่านประสบการณ์ฟุตบอลอาชีพในยุโรปมาเล่นในลีก ย่อมช่วยพัฒนาคุณภาพและความนิยมของลีกในประเทศให้สูงขึ้น
แน่นอนครับ พวกเขายังมีรอยต่อตรงนี้อยู่ ทีมที่ไม่ได้มีลูกครึ่งมาช่วยนั้นตกรอบแรกฟุตบอลอาเซียน คัพ เมื่อปีที่แล้ว แพ้เวียดนาม แพ้ฟิลิปปินส์ เสมอลาว แตกต่างจากผลงานของทีมชุดใหญ่เต็มสูบที่อัดเวียดนามทั้งเหย้าและเยือนในเกมคัดบอลโลกรอบสอง ฝ่าด่านพระกาฬในรอบสามหรือ 18 ทีมสุดท้ายเข้าสู่รอบสี่หรือรอบ 6 ทีมสุดท้ายโซนเอเชีย
เพิ่งตกรอบ 6 ทีมสุดท้ายไปสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยผลงานที่ยังมองเห็นว่าแม้กระทั่งใช้นักเตะลูกครึ่งลูกเสี้ยวที่เล่นในยุโรป ก็ยังมีระยะห่างจากทีมชั้นนำอย่างซาอุดีอาระเบียพอสมควร ขณะที่เกมเจออิรักกลับกลายเป็นเกร็งและขาดความนิ่งในจังหวะสำคัญ ๆ ไปหมด รวมถึงการควบคุมสติและอารมณ์
เฉพาะที่มัวแต่เถียงกับกรรมการไม่เลิกก็เสียเวลาไปหลายนาที ในช่วงที่ทีมกำลังต้องการประตู
การใช้ลูกครึ่งลูกเสี้ยวไม่ใช่มนตร์วิเศษที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบในฉับพลันหรอก เกมคัดบอลโลกคราวนี้อินโดนีเซียแพ้ญี่ปุ่นเหย้าเยือนรวมกัน 0-10 โดนออสเตรเลียถลุงอีก 1-5
เพียงแต่ทิศทางที่พวกเขากำลังดำเนินไปนั้นน่าติดตาม แม้จะยังสู้ทีมระดับท็อปของทวีปไม่ได้แต่ก็ยกระดับตัวเองขึ้นมาอย่างชัดเจน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของทีมชุดอายุไม่เกิน 23 ปีในรอบหลายปีหลังที่นักเตะกลุ่มนี้บางส่วนจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกในทีมชุดใหญ่ได้
ซีเกมส์เข้ารอบรองฯ 7 สมัยติดต่อกัน หนล่าสุดเป็นแชมป์ชนิดที่มีดาวซัลโวระดับยิงคนละ 6 ประตูสองคน
ชิงแชมป์อาเซียนเข้าชิง 3 จาก 4 ครั้งหลัง ได้แชมป์ 1 สมัย รองแชมป์ 2 หนติด
เอเชียน เกมส์เข้ารอบน็อกเอาต์มา 3 สมัยติดต่อกันแล้ว ขณะที่ศึกยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย วีรกรรมอัดออสเตรเลีย โค่นเกาหลีใต้ ทะลุรอบตัดเชือกที่กาตาร์เมื่อปี 2024 ยังคงเป็นที่พูดถึง คราวนั้นพวกเขาพลาดตั๋วโอลิมปิกแค่เกมเพลย์ออฟเท่านั้น
มาเสียฟอร์มตกรอบคัดเลือกยู-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2026 ที่ซาอุดีอาระเบีย แต่เชื่อว่าพวกเขาไม่อยู่เฉยและจะหยิบความล้มเหลวนี้มาหาทางปรับปรุงแก้ไขแน่
ขณะที่ทีมชุดใหญ่ เครือข่ายที่ทรงประสิทธิภาพของ เอริค ธอเฮียร์ ประธานสมาคมฟุตบอลของพวกเขาที่เคยเป็นถึงเจ้าของสโมสรอินเตอร์ มิลาน ยังคงสรรหานักฟุตบอลลูกครึ่งลูกเสี้ยวในยุโรปมาเสริมความแข็งแกร่งได้เรื่อย ๆ เพิ่มความสามารถในภาพรวมขึ้นอีก
จากเกรดบี เป็นบีบวก เป็นเอลบ ทีมชุดล่าสุดเดือนตุลาคมก็มีถึง 8 คนที่เพิ่งจะเล่นให้ทีมชาติไม่ถึง 10 นัด แสดงให้เห็นถึงการมีตัวเลือกใหม่ ๆ เสริมเข้ามา
นักเตะลูกครึ่งบางคนที่เคยเป็นตัวหลักแบบนอนมาก็หลุดไปเป็นตัวสำรอง บางคนไม่ถูกเรียกตัวติดทีม กลายเป็นนักเตะคุณภาพเหล่านั้นต้องแย่งชิงตำแหน่งกัน มีการแข่งขันภายในทีม เป็นผลดีต่อทีมชาติ
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเป็นเรื่องของมุมมองแต่ละคน หากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในวันนี้คือฟุตบอลอินโดนีเซียอยู่ในระดับท้าทายทวีปเอเชียแล้ว ไปถึงรอบ 6 ทีมสุดท้ายคัดบอลโลกโซนเอเชียแล้ว อีกก้าวเดียวก็แตะฟุตบอลโลกแล้ว
ในเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเราบางคนที่ตามมาในโลกโซเชียลหลังการตกรอบของอินโดนีเซียว่าเขาไร้ศักดิ์ศรีบ้าง เอาฝรั่งมาเตะบ้าง ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือเราจะนำพวกเขามาเป็นแรงกระตุ้นและผลักดันตัวเองได้อย่างไร
มันเป็นโอกาสอันดีด้วยซ้ำ เมื่อมีเพื่อนบ้านที่เก่งขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ เราก็ยิ่งอยู่เฉยไม่ได้ ต้องรีบหาวิธีการที่ถูกต้องให้เจอ เพื่อเร่งพัฒนาและยกระดับตัวเองตาม
เราอาจไม่มีความได้เปรียบเรื่องการเป็นชาติอาณานิคมอย่างเขา ก็ต้องวางแผนพัฒนาอย่างจริงจังด้วยวิธีการอื่น
เพราะหนทางพัฒนาไม่ได้มีทางเดียว การดึงนักเตะลูกครึ่งลูกเสี้ยวไม่ใช่ทางออกมหัศจรรย์อย่างที่บอก ไม่อย่างนั้นญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้คงไม่จองเครื่องบินไปฟุตบอลโลกทุก ๆ 4 ปีหรอก
เขาจะใช้วิธีไหนเรื่องของเขา โจทย์อยู่ที่เราต่างหากว่าจะสามารถหาวิธีการของตัวเองเจอไหม
มองดูสิ่งที่เป็นไปในเวลานี้ยังน่าเป็นห่วง ฟุตบอลทั้งลีกและทีมชาติของเราซบเซาเหลือเกินเมื่อเปรียบเทียบกับความคึกคักสนามแตกที่เคยเป็น
การปลุกช้างศึกเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่มากจริง ๆ ต้องวางแผนอย่างถูกต้อง ทั้งยังต้องร่วมแรงร่วมใจกันอย่างจริงจังทุกฝ่าย
อยู่เฉย ๆ เอาแต่ก่นด่าดินฟ้าแล้วรอสาปแช่งเขา ถ่มถุยเขาด้วยความสะใจเวลาพวกเขาล้ม.. ไม่มีประโยชน์หรอก
เพราะในขณะที่เราบางคนยังหัวเราะเยาะเขาอยู่ เขานำความผิดหวังไปเป็นบทเรียน แก้ไข และปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้ว
เป็นกำลังใจให้การก้าวเดินของเราครับ พัฒนาการของอินโดนีเซียเพื่อนบ้านเรานี่แหละแรงกระตุ้นชั้นเลิศเลย
#ตังกุย