หลังเกมที่ทีมชาติไทย ต้องพ่ายแพ้ให้กับอิรัก 0-1 ชวดแชมป์ฟุตบอลคิงส์คัพ 2025 ครั้งล่าสุดที่กาญจนบุรี ในช่วงฟีฟ่า เดย์ เดือนกันยายนที่ผ่านมา
ความเงียบงันและเสียงถอนหายใจหนักๆ ก็ดังกระหึ่มไปทั่วโลกออนไลน์ คำถามเดิมๆ ผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน เมื่อไหร่เราจะไปบอลโลก? หรือว่าชาตินี้เราจะไปไม่ถึงฝัน? และที่เจ็บปวดที่สุดคือ คำถามเชิงเปรียบเทียบที่ว่า ทำไมญี่ปุ่นเขาทำได้ แล้วทำไมเราถึงทำไม่ได้สักที?
คำถามเหล่านี้ไม่ใช่แค่คำถามของแฟนบอล แต่เป็นคำถามที่สะท้อนถึงความคับข้องใจ ความหวังที่ริบหรี่ และความรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งไล่เงาที่ไม่มีวันทัน
ในวันที่เรามองเห็นทีมชาติญี่ปุ่นได้โลดแล่นในฟุตบอลโลกอย่างสง่างาม ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ แต่พวกเขาก็เป็นที่ยอมรับในระดับโลก ในขณะที่เรายังคงติดอยู่ในวงจรเดิมๆ ที่วนลูปอยู่ไม่รู้จบ
แฟนบอลลองจินตนาการ “ภาพสองภาพ” ที่แตกต่างกันสุดขั้วนะครับ ภาพแรกคือ “สวนป่าญี่ปุ่น” ที่เต็มไปด้วยต้นไม้อายุยืนนับร้อยปีที่ยืนต้นอย่างสง่าผ่าเผย รากหยั่งลึก ใบเขียวชอุ่ม ให้ร่มเงาที่มั่นคง
ภาพที่สองคือ “ไร่ผลไม้ไทย” ที่ปลูกพืชล้มลุกเน้นผลผลิตด่วนจี๋ หวังเก็บเกี่ยวทันทีที่พืชเติบโต ไม่สนว่าดินจะเสื่อมโทรม รากจะตื้นเขินแค่ไหน
นี่แหละครับคือ ปรัชญาที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างการพัฒนาฟุตบอลเยาวชนของญี่ปุ่นและไทย!
ญี่ปุ่น ไม่ได้สนใจว่าต้นกล้าในวันนี้จะสูงใหญ่กว่าใคร พวกเขาสนใจว่า “ราก” ของต้นกล้าจะหยั่งลึก และแข็งแรงพอที่จะต้านทานพายุได้ในอนาคตหรือไม่?
พวกเขามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การเป็นแชมป์ในรุ่นอายุต่างๆ พวกเขามี “โปรเจกต์ดรีม” ที่มีวิสัยทัศน์ยาวไกลไปถึงการเป็นแชมป์โลกในปี 2050 ซึ่งมันคือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ไม่ใช่แค่การทำเพื่อผลลัพธ์ในวันนี้
พวกเขาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะ “สนุก” กับการเล่นบอล ให้พัฒนา “ทักษะพื้นฐาน” จนเป็นธรรมชาติเหมือนการหายใจ ไม่ว่าจะเป็นการจับบอลที่นุ่มนวล การส่งบอลที่แม่นยำ หรือการเลี้ยงบอลที่คล่องแคล่ว
โค้ชจะไม่กดดันให้เด็กต้องชนะ แต่จะสอนให้เด็ก “คิด” และ “แก้ปัญหา” ในสนามด้วยตัวเอง การแพ้หรือชนะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่จุดหมายปลายทาง
แต่ในทางกลับกัน ฟุตบอลเยาวชนไทยยังคงอยู่ใน “กับดักแห่งความสำเร็จ” ที่เราสร้างขึ้นเอง เรามักจะวัดความสำเร็จจากการเป็นแชมป์ในทัวร์นาเมนต์ต่างๆ จนกลายเป็นว่าโค้ชต้องเน้น “แท็กติกที่ซับซ้อน” เพื่อให้ได้ผลชนะทันทีทันใด และเด็กๆ ก็กลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่ถูกป้อนโปรแกรมให้วิ่งไปตามคำสั่ง โดยไร้ซึ่งความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง
แรงกดดันไม่ได้มาจากแค่โค้ช แต่มาจาก “ผู้ปกครอง” ที่คาดหวัง หรือจากสโมสรที่ต้องการชื่อเสียง ทำให้เรามุ่งเน้นไปที่การ “เก็บผลไม้ที่ยังไม่สุก” จนต้นไม้เริ่มเหี่ยวเฉาเพราะรากที่ตื้นเขิน และเมื่อนักเตะเหล่านี้เติบโตขึ้นสู่ระดับที่สูงขึ้น พวกเขามักจะขาดพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ขาดความคิดสร้างสรรค์ และขาดความสามารถในการปรับตัว ทำให้หลายคนต้องจบเส้นทางฟุตบอลไปอย่างน่าเสียดาย
ลองถามตัวเองดูว่า เด็กไทยที่เก่งที่สุดในรุ่นอายุ 12 ปี เมื่อ 10 ปีก่อน วันนี้พวกเขายังคงเป็นนักฟุตบอลอาชีพที่ประสบความสำเร็จอยู่หรือไม่? คำตอบอาจจะไม่ใช่ทุกคน เพราะความเก่งในวัยเด็กไม่ได้เป็นหลักประกันความสำเร็จในวัยผู้ใหญ่เสมอไป
ทางออกไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ “กล้าพอที่จะทำไหม” การพัฒนาฟุตบอลไทยไม่ได้ต้องการสูตรลับหรือทางลัดที่ซับซ้อน มันต้องการแค่ความเข้าใจที่ถูกต้องและ “ความกล้าหาญ” ที่จะเปลี่ยนแปลง
ลองเปลี่ยนวิธีคิด เลิกมองว่าการเป็นแชมป์ในรุ่นเยาวชนคือความสำเร็จสูงสุด แต่ให้มองว่าการสร้างนักเตะที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและมีความเข้าใจในเกมคือเป้าหมายที่แท้จริง
การปลูกรากให้ลึก มุ่งเน้นไปที่การสอนทักษะพื้นฐานให้แม่นยำตั้งแต่เด็กเล็ก ไม่ว่าจะเป็นการจับบอล การส่งบอล และการเคลื่อนที่อย่างฉลาด หรือการเปิดโอกาสให้เด็กได้เล่นอย่างอิสระ ให้เด็กได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง โดยไม่ถูกกดดันด้วยผลการแข่งขันมากเกินไป
ที่สำคัญเราต้องลงทุนในระยะยาว สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งสนามฝึกซ้อมและลีกเยาวชนที่มีคุณภาพ เพื่อให้เด็กๆ ได้มีโอกาสพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
การไปฟุตบอลโลกไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับทีมชาติไทย แต่เราต้องยอมรับความจริงที่เจ็บปวดว่า “เราเดินมาผิดทาง” และที่สำคัญที่สุดคือเราต้องกล้าที่จะ “กลับตัว” เพื่อเริ่มต้นใหม่บนเส้นทางที่ถูกต้อง
ถ้าเรายังคงปลูกพืชล้มลุกที่เน้นเก็บผลผลิตชั่วคราว เราก็จะได้แค่ความสำเร็จที่ฉาบฉวยและไม่ยั่งยืน แต่ถ้าเราพร้อมที่จะลงทุนปลูกต้นไม้ใหญ่ที่แม้จะใช้เวลาเติบโตนาน แต่เมื่อมันเติบโตเต็มที่ มันจะให้ร่มเงาที่มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป
อยู่ที่ว่า เราพร้อมที่จะเปลี่ยนวิธีคิดเพื่ออนาคตของฟุตบอลไทยหรือยัง?
เพราะนี่คือบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้ นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ และนี่คือ “วันแรก” ที่เราต้องเริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง!
-กอล์ฟ เบนเทเก้-