ช่างน่าเสียดายยิ่งนักกับความพ่ายแพ้ในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลคิงส์คัพ ครั้งที่ 51 ที่จังหวัดกาญจนบุรี ทีมชาติไทยของเราพ่ายต่อ ทีมชาติอิรัก ไปอย่างหวุดหวิด 0-1 ทำให้ต้องอกหักพลาดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดาย
การปราชัยครั้งนี้ถือเป็นความพ่ายแพ้ต่อทีมที่มีอันดับโลกสูงกว่าครั้งแรกของปี 2025 และยังเป็นการแพ้ครั้งที่ 4 จาก 8 เกมที่ลงสนามในทุกรายการของปีเดียวกันนี้
สถิติดังกล่าวจุดประกายคำถามมากมายในใจของแฟนบอลไทยทุกคน อนาคตของ "มาซาทาดะ อิชิอิ" หัวเรือใหญ่แห่งทัพ "ช้างศึก" จะเป็นอย่างไรต่อไป และเขาจะได้กุมบังเหียนพาทีมลงแข่งในโปรแกรมสำคัญเดือนตุลาคมนี้หรือไม่"
เพราะสิ่งสำคัญที่กำลังรออยู่ข้างหน้าคือ ศึกฟุตบอลเอเชียน คัพ 2027 รอบคัดเลือกนัดที่ 3 ซึ่งทีมชาติไทยจะเปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ ทีมชาติไต้หวัน ในวันที่ 9 ตุลาคม และอีก 5 วันถัดมาในวันที่ 14 ตุลาคม พวกเขาจะต้องเดินทางไปเยือนไต้หวันอีกครั้งหนึ่ง ... นี่คือภารกิจสำคัญที่ไม่สามารถผิดพลาดได้
นับตั้งแต่กุนซือจากแดนอาทิตย์อุทัยรายนี้เข้ามาคุมทีมเมื่อปลายปี 2023 เขานำทัพช้างศึกผ่านการลงสนามไปแล้ว 28 นัด ผลงานที่ปรากฏคือ ชนะ 14 นัด เสมอ 6 นัด และแพ้ 8 เกม
หากมองผิวเผิน ตัวเลขนี้อาจดูไม่ได้เลวร้ายนัก แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า ผลงานที่ผ่านมาประกอบด้วยการพาทีมเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายในเอเชียน คัพ 2023 ที่กาตาร์, คว้าแชมป์คิงส์คัพ 2024, รองแชมป์อาเซียน คัพ 2024 และล่าสุดกับตำแหน่งรองแชมป์คิงส์คัพ 2025
หลายคนเริ่มตั้งคำถามถึงฝีมือของกุนซือวัย 58 ปีรายนี้ แม้ในอดีตเขาจะเคยสร้างชื่อเสียงจากการพา "คาชิม่า แอนท์เลอร์ส" ผงาดคว้าแชมป์เจลีก 1 หรือลีกสูงสุดของประเทศญี่ปุ่นในปี 2016 มาแล้วก็ตาม
เท่านั้นไม่พอ คำวิพากษ์วิจารณ์เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่การเลือกตัวผู้เล่นในแต่ละรายการที่ผ่านมา มีเสียงร่ำลือว่าเขามักเรียกแต่ผู้เล่น "คนเดิมๆ" ที่หลายคนมองว่าเป็น "ลูกรัก" ขณะเดียวกันนักเตะที่ฟอร์มดีโดดเด่นในปัจจุบันกลับไม่ได้รับโอกาส
นอกจากนี้ยังมีการ "ตั้งคำถาม" ถึงการมองข้ามผู้เล่นจอมเก๋าที่มีประสบการณ์ ซึ่งสามารถช่วยประคองน้องๆ ในทีมได้!
ไม่เพียงแค่นั้น การจัดทัพลงสนามในแต่ละเกมยังสร้างความประหลาดใจให้กับแฟนบอลจำนวนไม่น้อย ทำไมผู้เล่นคนนี้ถึงได้ลงตัวจริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า? ทำไมไม่ลองส่งคนนั้นลงก่อน? คำถามเหล่านี้สะท้อนถึงความสงสัยในแผนการเล่น และแท็กติกของกุนซือชาวญี่ปุ่น
ปัญหาหนักอกอีกประการที่ทีมชาติไทยถูกวิจารณ์อย่างหนักในช่วงหลังคือ "ความสิ้นเปลือง" กับโอกาสในการจบสกอร์?
ยามบุกก็ยิงทิ้งยิงขว้าง ขณะเดียวกันยามรับก็เสียประตูง่ายดายอย่างไม่น่าให้อภัย ประตูที่ควรจะเป็นของเรากลับกลายเป็นของคู่ต่อสู้ไปเสียอย่างนั้น
แต่หากมองในมุมของ อิชิอิ เอง ปัญหาเรื่องการจบสกอร์ที่ไม่เฉียบคมนั้นเป็นเรื่องที่เขาเคยตอบไว้อย่างชัดเจนว่า "การพัฒนาเรื่องการจบสกอร์ให้เฉียบคมต้องเริ่มที่สโมสร"
ซึ่งเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะการฝึกซ้อมกับทีมชาติมีเวลาจำกัดเพียง 2-3 วันเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลได้ในระยะยาว
ตรงกันข้ามกับสโมสรที่สามารถฝึกซ้อมกับนักเตะได้อย่างต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน การฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ จึงจะเห็นผลมากกว่าการมาซ้อมกับทีมชาติเพียงช่วงสั้นๆ
อย่างไรก็ตาม หากมองสถิติโดยรวมนับตั้งแต่อิชิอิเข้ามารับตำแหน่งตลอด 28 นัด ทีมชาติไทยสามารถทำประตูไปได้ถึง 50 ประตู ซึ่งตัวเลขนี้บ่งบอกว่า เกมรุกของทีมไม่ได้ไร้ประสิทธิภาพอย่างที่หลายคนเข้าใจ
จาก "เจแปน เวย์" สู่ "ทางตัน" หรือ "ทางแยก" เป็นที่ยอมรับกันว่าช่วง "โปรโมชั่น" ของ มาซาทาดะ อิชิอิ ดูเหมือนจะหมดลงแล้วหลังจากผ่านไป 1 ปี 9 เดือน
ไม่เหมือนกับช่วงแรกที่แฟนบอลไทยหลายคน ต่างมีความหวังและเชื่อมั่นในระบบ "เจแปน เวย์" ที่จะนำพาฟุตบอลไทยไปสู่ระดับที่สูงขึ้น
บทสรุปของเรื่องนี้จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะตัดสินใจ อิชิอิ ยังเป็นคนที่ใช่สำหรับฟุตบอลทีมชาติไทยอยู่หรือไม่? และหากไม่ใช่ รูปแบบการพัฒนาทีมในอนาคตควรเป็นอย่างไร?
หรือถึงเวลาแล้วที่จะหันกลับมาใช้โค้ชไทยอย่างที่หลายคนกล่าวว่า "ทีมชาติไทยก็ต้องใช้คนไทย"
นี่คือข้อถกเถียงที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมฟุตบอลไทย ณ ขณะนี้ แล้วในความคิดเห็นของคุณล่ะครับ อิชิอิมาถึงทางตันแล้ว หรือเขายังไปต่อได้ และสมควรได้รับโอกาสให้คุมทีมจนจบคัดเลือกเอเชียน คัพ ในช่วงต้นปีหน้า แล้วค่อยตัดสินผลงานอีกครั้ง? นี่คือคำถามที่เราทุกคนต้องร่วมกันหาคำตอบ
ถึงเวลาที่ฟุตบอลไทย จะต้องคิดและตัดสินใจอย่างรอบคอบ เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างมั่นคง บนเส้นทางที่ถูกต้อง!
แล้วคุณล่ะครับ...ยังเชื่อในระบบ "เจแปน เวย์" หรือถึงเวลาแล้วที่จะหา "เวย์” ใหม่ที่พา "ช้างศึก" ทีมชาติไทย ไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริง?
-กอล์ฟ เบนเทเก้-