ทีมชาติไทย พ่าย อิรัก 0-1 นัดชิงคิงส์คัพ 2025 ที่กาญจนบุรี เปิด 5 ประเด็นสำคัญจากเกม ทั้งแท็กติกเสี่ยง, จุดอ่อนลูกโด่ง, ฟอร์มตัวหลัก, การมองข้ามชนาธิป-เจริญศักดิ์ และดราม่าผู้ตัดสิน
[ 1 ] การจัดทัพแบบ "เรียกแขก" และความเสี่ยงของแท็กติก
การจัดตัวผู้เล่นของ มาซาทาดะ อิชิอิ ในเกมนี้เรียกได้ว่าน่าเซอร์ไพรส์และเต็มไปด้วยความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะเป็นการตัดสินใจส่งกองหน้าตัวเป้าลงสนามพร้อมกันถึง 3 คน ได้แก่ ศุภชัย ใจเด็ด, ปรเมศย์ อาจวิไล และ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ทั้งๆ ที่ในทีมมีผู้เล่นริมเส้นธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยศักยภาพอย่าง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ กับ เอกนิษฐ์ ปัญญา
เท่านั้นไม่พอ การตัดสินใจใช้มิดฟิลด์อาชีพอย่าง พีรดนย์ ฉ่ำรัศมี เพียงคนเดียวในแผงกลาง โดยมี สุภโชค สารชาติ และ เบน เดวิส ซึ่งเป็นผู้เล่นที่ถนัดเกมรุกมากกว่ามายืนเป็นตัวทำเกมร่วมกัน ก็ยิ่งทำให้รูปแบบการยืนในสนามนั้นน่าฉงนหนักขึ้นไปอีก
โดยเฉพาะบริเวณฝั่งขวาที่ ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ต้องลงมาช่วย ศุภนันท์ บุรีรัตน์ เล่นเกมรับอย่างหนัก ซึ่งเข้าใจได้ว่ากุนซือชาวญี่ปุ่น ต้องการใช้ความขยันขันแข็งของหัวหอก การท่าเรือ เอฟซี มาปิดเกมริมเส้นของอาคันตุกะ จึงเลือกแท็กติกนี้ตั้งแต่ต้น
ขณะที่ ปรเมศย์ และ เบน เดวิส ต้องพยายามเชื่อมเกมในฐานะกองกลางตัวรุก โดยมี พีรดนย์ ปักหลักอยู่หน้าแผงหลังเพียงลำพัง
การเล่นด้วยโครงสร้างลักษณะนี้ถือเป็นความเสี่ยงอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับทีมที่มีชั้นเชิงสูงและมีการครองบอลที่เหนือกว่าอย่างอิรัก ซึ่งแม้ว่า อิชิอิ จะกล้าใช้แท็กติกนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านทานความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้
[ 2 ] ปัญหา "ลูกโด่ง" ที่ยังเป็นจุดบอดเรื้อรัง
เป็นอีกครั้งที่ทีมชาติไทย ต้องเจอกับปัญหาน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงกับเรื่อง "การป้องกันทางอากาศ" ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัย เมื่อใดก็ตามที่โดนบอมบ์ด้วยลูกโด่งใส่พื้นที่อันตราย แนวรับช้างศึกมักจะแกว่งให้เห็นอยู่เสมอ
ประตูโทนที่เป็นเหตุให้พ่ายต่ออิรัก ก็มาจากจังหวะเปิดบอลจากด้านข้างเหมือนเคย ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทีมชุดนี้ยังคงขาดความแข็งแกร่งและสมาธิในการรับมือกับจังหวะที่ต้องใช้พละกำลังและสรีระในการเข้าปะทะกับคู่ต่อสู้
ลูกที่เสียไปแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการจัดการกับสถานการณ์ลูกเปิดของคู่แข่งนั้นยังแก้ไขไม่สำเร็จสักที และนี่คือจุดที่ต้องเร่งปรับปรุงอย่างด่วนที่สุดหากหวังจะทำผลงานได้ดีในรายการใหญ่ๆ ในทัวร์นาเมนต์ต่อๆ ไป
[ 3 ] ฟอร์มที่น่าผิดหวังของตัวหลักและความหวังที่ยังไม่เป็นจริง
ฟอร์มการเล่นของนักเตะบางรายในเกมนี้ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่คาดหวัง โดยเฉพาะ ปรเมศย์ อาจวิไล ที่ดูเหมือนจะเหม่อลอยและสมาธิไม่อยู่กับตัวในหลายๆ จังหวะ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการที่ถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัดนัก ทำให้เขาไม่สามารถสร้างสรรค์หรือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันได้มากนัก
เช่นเดียวกับ ศุภชัย ใจเด็ด เจ้าของรางวัล 'ดาวซัลโว' ไทยลีก 2 สมัยติดต่อกัน (2022-23 และ 2023-24) จนถูกคาดการณ์ให้เป็นตัวแทน ธีรศิลป์ แดงดา แต่เป็นอีกครั้งที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามสู่การเป็นศูนย์หน้าตัวความหวังอย่างแท้จริงได้ เพราะถึงแม้จะได้รับโอกาสอยู่ในสนามครบ 90 นาที แต่กลับใช้โอกาสที่มีอยู่ แปรเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้
โดยเฉพาะจังหวะทองในช่วงทดเวลาการแข่งขันที่ได้ยิงเหน่งๆ จ่อๆ แต่กลับซัดหลุดกรอบออกไปไกลอย่างน่าเสียดาย ทำให้เกิดคำถามว่าเมื่อไหร่ที่หัวหอกจากปัตตานี จะสามารถแบกรับความกดดันและสร้างความแตกต่างให้กับทีมชาติในเกมระดับสูงได้สักที
[ 4 ] 'ชนาธิป' และ 'เจริญศักดิ์' คือคำตอบที่ถูกมองข้าม
การตัดสินใจเปลี่ยนตัวผู้เล่นในครึ่งหลังโดยเฉพาะการส่ง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ลงสนามนั้นเห็นผลทันทีอย่างชัดเจน
อดีตเพลย์เมเกอร์ คอนซาโดเล ซัปโปโร สามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างน่าอัศจรรย์ ด้วยทักษะการครองบอลที่ยอดเยี่ยม, การจ่ายบอลที่เฉียบคมและยังสร้างสรรค์เกมรุก ซึ่งเขาเกือบมีส่วนทำให้ทีมได้ประตูตีเสมอหลายครั้ง
รวมไปถึง เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ ที่ถูกส่งลงมาแทน ธีรศักดิ์ ก็ทำให้เกมรุกทางริมเส้นมีมิติที่หลากหลายและอันตรายมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แถมยังเกือบจะยิงประตูต่อหน้าชาวกาญจนบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองได้อีกต่างหาก แต่ก็น่าเสียดายที่ VAR เช็คว่าเป็นจังหวะล้ำหน้าเสียก่อน
การลงมาของทั้งคู่พิสูจน์ให้เห็นว่าแท็กติกที่ อิชิอิ ใช้ตั้งแต่แรกนั้นถือว่า 'คิดผิด' เพราะดันไม่ใช้คนอย่างถูกวิธี และทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่ได้รับโอกาสลงสนามตั้งแต่ต้นเกม
[ 5 ] ปัญหาด้านการตัดสินที่เกือบทำให้สถานการณ์บานปลาย
อีกหนึ่งประเด็นที่ไม่อาจมองข้ามได้คือการทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน มูฮัมหมัด นาซิม บิน นาซารุดดิน จากมาเลเซีย ซึ่งดูเหมือนว่าจะขาดความเด็ดขาดและปล่อยให้เกมไหลเกินไปในหลายจังหวะ
เหตุการณ์ใบแดงโดยตรงของ โมฮานาด อาลี ศูนย์หน้าอิรัก ที่ไปเจตนาเตะ ชนาธิป สรงกระสินธ์ อย่างน่าเกลียด ถือเป็นผลโดยตรงจากการที่กรรมการไม่ยอมเบรกเกมหรือให้ใบเหลืองเพื่อเตือนสติผู้เล่นทั้งสองฝั่งก่อนหน้านี้
หลายจังหวะที่ควรจะมีการให้ใบเหลืองเพื่อควบคุมอารมณ์ของนักเตะ แต่กลับถูกปล่อยผ่านไป ทำให้บรรยากาศในสนามตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่เหตุการณ์ท้ายเกมที่เกือบจะบานปลาย
การคัดเลือกผู้ตัดสินสำหรับเกมสำคัญระดับนี้จึงเป็นสิ่งที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ต้องให้ความสำคัญและรอบคอบมากกว่านี้ เพื่อความยุติธรรมและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เกินการควบคุมในสนาม