คิงส์ คัพ 2025 นัดชิง ทีมชาติไทย พบ อิรัก แฟนบอลรอคอย 5 สิ่งสำคัญที่อยากเห็นจากทัพช้างศึก ทั้งการจบสกอร์เฉียบขาด, การจัดตัวที่เหมาะสม, สปิริตนักสู้ และการเล่นสมศักดิ์ศรี
คิงส์ คัพ 2025 รอบชิงชนะเลิศ วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พบ อิรัก I สนามกีฬากลีบบัว, จังหวัดกาญจนบุรี I 20:00 น.
ถ่ายทอดสดทาง ไทยรัฐทีวี HD (ช่อง 32), TrueVisions Now และ BG SPORTS (Youtube)
1. ยกระดับการจบสกอร์ให้เฉียบขาด
ปัญหาเรื้อรังที่อยู่คู่กับทีมชาติไทย มานานแสนนาน นอกจากเกมรับที่มักจะผิดพลาดในลูกกลางอากาศแล้ว ยังมีเรื่องของการจบสกอร์ที่ไร้ความเฉียบคมเป็นอีกหนึ่งข้อบกพร่องใหญ่ที่ไม่อาจมองข้ามได้
ในเกมรอบรองชนะเลิศกับฟิจิ แม้จะครองบอลและสร้างสรรค์โอกาสได้มากมาย แต่เหล่าบรรดาแนวรุกต่างก็ยิงทิ้งยิงขว้าง ไม่ว่าจะเป็นหัวหอกตัวเลือกแรกๆ อย่าง ปรเมศย์ อาจวิไล หรือ ศุภชัย ใจเด็ด ที่ได้หลุดเดี่ยว แต่กลับไม่แปรเปลี่ยนเป็นสกอร์ได้สำเร็จ
ไม่เพียงแต่กองหน้าเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เอกนิษฐ์ ปัญญา, เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ หรือ เบน เดวิส ต่างก็มีโอกาสสับไกมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาก็คือบอลหลุดกรอบหรือไม่ก็ติดเซฟผู้รักษาประตูไปเสียหมด
ฟุตบอลในระดับสูงนั้นวัดกันที่ความเฉียบขาด หากทีมชาติไทย ยังคงจบสกอร์ได้ไม่แน่นอนเช่นนี้ ก็ยากที่จะยกระดับตัวเองไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่
หากสามารถแก้ไขเรื่องการใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ เชื่อแน่ว่าทัพช้างศึกจะสามารถก้าวข้ามอาเซียน และขยับไปสู่ระดับทวีปได้ในอนาคต
2. ‘ลูกรัก’ ที่อาจต้องพักบ้าง เพื่อเปิดโอกาสให้คนอื่น
มาซาทาดะ อิชิอิ เป็นกุนซือที่มักจะยึดติดกับผู้เล่นที่ตนเองเชื่อมั่น ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะโค้ชทุกคนก็มักจะเป็นเช่นนี้ เนื่องจากนักเตะเหล่านั้นสามารถตอบโจทย์และทำตามแท็กติกที่สั่งได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ทว่าในบางครั้ง-ในบางคราวที่แข้งเหล่านั้นฟอร์มไม่เข้าที่เข้าทางหรือเล่นต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ก็ยังคงได้รับโอกาสจากเทรนเนอร์ชาวญี่ปุ่น อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อย
เข้าใจว่าในฐานะโค้ชย่อมให้ความไว้ใจในตัวผู้เล่นที่ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ แต่หากนักเตะคนนั้นทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ ก็ถึงเวลาที่ต้องเปิดโอกาสให้กับผู้เล่นคนอื่นๆ บ้าง เพราะการออกรบด้วยยุทธวิธีเดิมๆ แต่คาดหวังผลลัพธ์ใหม่ๆ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก
การมีตัวเลือกที่หลากหลายจะทำให้ทีมมีความยืดหยุ่นมากขึ้นยามต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ดีกว่ายึดติดกับสิ่งเดิมๆ ที่เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้มากไปกว่านี้
3. Put the Right Man in the Right Job
ตอนประกาศรายชื่อทีมชาติไทย ชุด คิงส์ คัพ ครั้งที่ 51 มีคำถามมากมายเกี่ยวกับผู้เล่นในบางตำแหน่งที่ดูจะขาดสมดุล
เริ่มจากตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟที่มี สุพรรณ ทองสงค์ เพียงคนเดียวเท่านั้นที่มีประสบการณ์ในระดับนานาชาติ
ขณะที่แบ็กซ้าย อภิสิทธิ์ โสรฎา ที่ได้เล่นเป็นตัวจริง 1 แมตช์ จาก 3 เกมแรกใน ไทยลีก กลับเป็นซึ่งเป็นผู้เล่นที่ถนัดเท้าซ้ายโดยธรรมชาติคนเดียวที่มีอยู่ ส่วนฝั่งขวามีถึง 3 ราย
เคสนี้ น่าสงสัยเหลือเกินว่าแบ็กซ้ายใน ไทยลีก ที่ลงสนามอย่างสม่ำเสมออย่าง ชัยวัฒน์ บุราณ, วันชัย จารุนงคราญ หรือ พลเอก มณีกร เจนเซ่น ที่อยู่ในชุดยู-23 ทำไมไม่อยู่ในข่ายที่ อิชิอิ เรียกเข้ามาติดทีม
ส่วน เควิน ดีรมรัมย์ นั้นคงยากที่จะหวนคืนทัพช้างศึกอีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเอามากๆ
ในเกมกับฟิจิ ทุกคนก็ได้เห็นการจัดตัวที่ค่อนข้างน่าประหลาดใจเมื่อ อิชิอิ เลือกใช้งาน ธีรศักดิ์ เผยพิมาย ซึ่งเป็นหัวหอกตัวเป้า ให้ไปเล่นเป็นกองหน้ากึ่งปีกทางฝั่งขวา แม้ผลงานจะดูน่าพอใจ แต่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ถนัดของเขาเลย แทนที่จะเลือกใช้งาน เจริญศักดิ์ วงษ์กรณ์ หรือ สุภโชค สารชาติ ซึ่งเป็นปีกธรรมชาติให้ลงเล่นในพื้นที่ที่คุ้นเคย
การที่ผู้เล่นไม่ได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัด ย่อมส่งผลให้ประสิทธิภาพของนักเตะคนนั้นลดลงไปอย่างแน่นอน
หากในเกมนัดชิงชนะเลิศกับอิรัก - อิชิอิ ยังคงเลือกที่จะใช้งาน ธีรศักดิ์ ในตำแหน่งเดิม เชื่อได้เลยว่าผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะย่ำแย่กว่าเกมกับฟิจิ อย่างแน่นอน
อีกทั้งในตำแหน่งแบ็กซ้าย เชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ นิโคลัส มิคเคลสัน จะได้ลงเล่น แม้ว่าเขาจะสามารถเล่นในตำแหน่งนี้ได้ แต่ถ้าจะให้เค้นฟอร์มที่ดีที่สุด เขาก็ควรจะยืนอยู่ทางฝั่งขวามากกว่า
ดังนั้นการเลือกผู้เล่นมาใช้งานในตำแหน่งที่เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง
4. สลัดภาพนักบอลเดินแบบทิ้งไป
ในโลกฟุตบอลยุคปัจจุบัน พละกำลังและความแข็งแกร่งเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก แต่เรามักจะเห็นนักเตะไทยหลายๆ คนเมื่อได้ขยับขึ้นมาติดทีมชาติแล้วมักจะเล่นเหมือนกับการเดินแบบบนเวทีที่มีแสงไฟสาดส่อง ท่ามกลางสายตาของแฟนๆ ที่คาดหวังจะเห็นพวกเขาแสดงศักยภาพอย่างเต็มที่
หากยังคงเล่นด้วยทัศนคติที่ขาดความกระหายและไม่มีความมุ่งมั่นที่จะวิ่งเข้าหาบอลตลอดเวลา การพัฒนาของตนเองและรวมไปถึงทีมก็จะหยุดชะงัก - ไม่มีทางก้าวไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ได้เลย
การต่อสู้กับทีมอย่างอิรัก ซึ่งมีพละกำลังและความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน จำเป็นต้องใช้ความทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อที่จะต้านทานพวกเขาให้ได้
นัดชิงชนะเลิศ คิงส์ คัพ 2025 จึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบของ อิชิอิ และลูกทีมว่าจะจัดการกับสถานการณ์นี้เช่นไรให้ได้ผลลัพธ์ออกมางดงามที่สุด
5. สู้ให้เต็มที่อย่างสมศักดิ์ศรี
นี่คือถ้วยพระราชทานอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่กับวงการฟุตบอลไทยมาอย่างยาวนานเกินกว่า 50 ปี นักเตะระดับโลกหลายคนก็เคยเดินทางมาสัมผัสรายการนี้ในอดีต
ธงไตรรงค์บนหน้าอกข้างซ้ายจึงเปรียบเสมือนความภาคภูมิใจสูงสุดของนักฟุตบอลทุกคนที่ได้รับโอกาสลงเล่นในนามทีมชาติ
ดังนั้นในเกมนัดชิงชนะเลิศนี้ สิ่งที่แฟนฟุตบอลชาวไทย ทุกคนต้องการเห็น จึงไม่ใช่แค่ชัยชนะเท่านั้น แต่คือการที่นักเตะทุกคนแสดงสปิริตนักสู้ สู้ให้เต็มที่อย่างสมศักดิ์ศรี
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ต้องสู้จนสุดใจ เพื่อเป็นของขวัญอันล้ำค่าให้กับคอลูกนังทุกคนที่เฝ้าฝันถึงความสำเร็จอย่างใจจดจ่อ