เจาะลึกเส้นทางของ ปรเมศย์ อาจวิไล ศูนย์หน้าดาวรุ่งผู้รับบทบาทแทน ธีรศิลป์ แดงดา ทั้งในทีมชาติและสโมสร กับความท้าทายครั้งใหญ่ในการค้าแข้งที่ เจลีก กับ จูบิโล่ อิวาตะ
แม้จะไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ ไม่มีคำสั่งมอบหมายจากผู้ใดทั้งนั้น แต่ความเงียบงันในสนามซ้อมและแววตาของแฟนฟุตบอลกำลังบอกอะไรบางอย่าง…
“ถึงเวลาของเขาแล้ว”
ในวันที่ ธีรศิลป์ แดงดา หัวหอกหมายเลขหนึ่งของเมืองไทย ใกล้ปลดระวาง หลังรับใช้ชาติมายาวนานกว่าทศวรรษ
64 ประตู จาก 128 เกม คือสิ่งที่ทำให้เขาขึ้นหิ้งระดับ 'ตำนาน' โดยแท้จริง
ยามที่ช้างศึกมี ธีรศิลป์ อยู่ในสนาม แฟนฟุตบอลต่างมั่นใจเสมอ เพราะความเก่งกาจบวกจบสกอร์เฉียบขาดนั้นพาไทย กำชัยได้หลายต่อหลายเกม
ทว่าปัจจุบันในวัยที่กำลังจะ 37 บริบูรณ์ในวันที่ 6 มิถุนายน สภาพร่างกายของเขาเริ่มถดถอย
บทบาทนั้นไม่ได้ถูกทิ้งไว้เฉยๆ หากแต่ค่อยๆ ถูกส่งผ่านต่อ เข้าสู่มือของชายหนุ่มที่ชื่อว่า ปรเมศย์ อาจวิไล
สมาชิกใหม่ จูบิโล่ อิวาตะ อาจไม่ใช่นักเตะที่มีทักษะจัดจ้านที่สุดในทีม ไม่ใช่คนที่ยิงกระจายจนพาดหัวทุกสัปดาห์ แต่หากคุณสังเกตทุกเกมที่เขาลงเล่นให้กับเมืองทอง - คุณจะพบว่าเขาสามารถสร้างประโยชน์ให้ต้นสังกัดได้มหาศาล
ทักษะสูง, แข็งแกร่ง, มีความไว, ไหวพริบดี, ขยัน, เรียนรู้แท็กติกอยู่เสมอและสังหารประตูได้คมกริบ
ปรเมศย์ คือหนึ่งในเพชรเม็ดงามที่ถูกเจียระไนอย่างพิถีพิถันจากระบบอะคาเดมี่ของ เมืองทอง ยูไนเต็ด
เขาซึมซับดีเอ็นเอของสโมสรมาตั้งแต่เยาว์วัย จากนักเตะเยาวชนที่เฝ้ามองรุ่นพี่อย่าง ธีรศิลป์ โลดแล่นบนฟลอร์หญ้า สู่การเป็นกำลังสำคัญที่เริ่มสวมบทบาทหัวหอกตัวความหวังแทนที่รุ่นพี่ที่เปรียบเสมือนครูใหญ่
ทั้งยังรับมอบเสื้อหมายเลข 10 อันเป็นเบอร์ใหญ่ของกิเลนผยองอีกต่างหาก
การที่เขาได้เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยการแข่งขันและมาตรฐานที่สูงลิ่วของ เมืองทอง ทำให้ ปรเมศย์ มีพัฒนาการที่ต่อเนื่องและมั่นคง เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง ได้ลงสนามจริงในเกมสำคัญ รวมถึงได้พิสูจน์ตัวเองภายใต้แรงกดดัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นศูนย์หน้าที่พร้อมสำหรับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความกระหายที่จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การเป็น 'ดาวรุ่ง' แต่ทะเยอทะยานที่จะเป็น 'กำลังหลัก'
สิ่งที่น่าชื่นชมคือความเข้าใจในเกมและทัศนคติการเล่นที่เน้นทีม ไม่ใช่เพียงแค่การทำประตูส่วนตัวเท่านั้น การเคลื่อนที่ของเขาเพื่อเปิดพื้นที่ให้เพื่อน การเพรสซิ่งคู่แข่งอย่างไม่ลดละ ทั้งยังสร้างโอกาสจนทำแอสซิสต์ได้อยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เขาโดดเด่นและเป็นที่ต้องการของโค้ชทุกคน
ประตู 2-0 ในเกมชนะอินเดีย บ่งชี้ให้เห็นถึง 'คลาส' ฟุตบอลของ ปรเมศย์ กับการเลือกช็อตในการเล่นได้แบบเฉียบแหลม
การย้ายสู่ จูบิโล่ ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนสังกัด แต่เป็นการก้าวเข้าสู่สนามสอบครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตค้าแข้งของเขา
ลีกสูงสุดของญี่ปุ่น นั้นขึ้นชื่อเรื่องความรวดเร็ว, วินัยแท็กติกที่เข้มงวด, ความแข็งแกร่งของนักเตะ การแข่งขันในทุกตำแหน่งนั้นดุเดือดและไม่มีที่ว่างสำหรับความผิดพลาด
เขาจะต้องปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การเล่นที่ต่างออกไป วัฒนธรรมฟุตบอลที่ไม่คุ้นเคยและความคาดหวังที่สูงขึ้นจากแฟนๆ ชาวชิซูโอกะ รวมถึงแฟนฟุตบอลชาวไทย ที่เฝ้ารอคอยความสำเร็จของนักเตะสยามในต่างแดน
ความท้าทายนี้จะหล่อหลอมให้ ปรเมศย์ แข็งแกร่งขึ้น ทั้งในแง่ของฝีเท้าและสภาพจิตใจ การที่เขาเลือกที่จะก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญและความทะเยอทะยานที่แท้จริง
เรื่องราวของเขาจึงไม่ใช่เพียงแค่การสืบทอดตำแหน่งหัวหอกจากตำนานอย่างธีรศิลป์ แต่เป็นการส่งต่อ 'มรดก' ของฟุตบอลไทย ที่ เมืองทอง พยายามสร้างมาโดยตลอด นั่นคือการเชื่อมั่นในศักยภาพของเยาวชน การลงทุนในระบบอะคาเดมีที่จริงจัง และการเป็นสะพานเชื่อมให้นักเตะได้ก้าวไปสู่ความท้าทายที่สูงขึ้น
การที่ผู้เล่นจากอะคาเดมีได้ไปค้าแข้งใน เจลีก เป็นการตอกย้ำว่าแนวทางนี้ไม่ได้แค่สร้างนักฟุตบอล แต่กำลังสร้าง 'อนาคต' ให้กับวงการฟุตบอลไทย ในระยะยาว
ปรเมศย์ คือตัวแทนของความหวังนั้น หวังว่าเขาจะสามารถปรับตัวและฉายแสงในดินแดนอาทิตย์อุทัยได้สำเร็จ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนอีกหลายพันคนทั่วประเทศที่กำลังเฝ้ารอวันที่จะได้สวมเสื้อทีมชาติและก้าวไปสร้างชื่อเสียงในระดับสากลตามรอยรุ่นพี่
แม้บทบาทของ ธีรศิลป์ ในนามทีมชาติและสโมสรจะค่อยๆ ลดลง แต่เรื่องราวของเขายังคงเป็นแรงบันดาลใจให้แก่รุ่นน้องเสมอมา
ดาวยิงคนใหม่ของ จูบิโล่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาคือผู้ที่จะสานต่อความยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ในฐานะเงาของใคร แต่ในฐานะดาวดวงใหม่ที่พร้อมจะส่องสว่างบนเส้นทางของตัวเองในนามของตนเอง
ผู้ซึ่งกำลังเขียนบทใหม่ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย
ปรเมศย์ อาจวิไล และความท้าทายในฐานะตัวแทน ธีรศิลป์ แดงดา