ทีมชาติไทย เฉือน อินเดีย 2-0 เกมอุ่นเครื่องฟีฟ่าเดย์ แต่ยังมีหลายประเด็นที่ต้องปรับปรุง ทั้งเรื่อง ความฟิต, เกมรับ, และการสวนกลับ ส่วน ปรเมศย์ อาจวิไล โดดเด่นจนลุ้นแทนที่ ธีรศิลป์ เต็มตัว
[1] ปรเมศย์ ตัวแทน ธีรศิลป์
แม้สถิติในระดับสโมสรของ ปรเมศย์ อาจวิไล จะเป็นรอง ศุภชัย ใจเด็ด เจ้าของรางวัล 'ดาวซัลโว' ไทยลีก 2 สมัย ทว่าผลงานในระยะหลังของสมาชิกใหม่ จูบิโล่ อิวาตะ ถือว่าร้อนแรงเอามากๆ
หัวหอกวัย 26 ปี กำลังอยู่ในช่วงพีกของอาชีพ อีกทั้งยังฟอร์มพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกต่างหาก
ดาวยิงกิเลนผยองเป็นศูนย์หน้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วนกับการเติบใหญ่อย่างยิ่งยง ทักษะสูง, ไปกับบอลได้ดี, แข็งแรง และยังปิดสกอร์เฉียบขาด
ประตู 2-0 ที่ปั่นโค้งเสียบสามเหลี่ยมในเกมชนะอินเดีย คือสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงความเก่งกาจของปรเมศย์ เพราะนี่คือการยิงอย่างมีคลาสโดยแท้จริง
หากยังรักษาฟอร์มได้อย่างสม่ำเสมอและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่จูบิโล่อย่างเต็มเหนี่ยว รับประกันได้เลยว่าเขาจะพัฒนาตนเองสู่การเป็นกองหน้าเบอร์หนึ่งแห่งสยามประเทศได้แน่นอน
ตัวแทนของ ธีรศิลป์ แดงดา ต้องเป็น ปรเมศย์ เท่านั้น
[2] หลายคนกล้าเล่น-กล้าลุย
เบนจามิน เดวิส, ชาญณรงค์ พรหมศรีแก้ว, ปรเมศย์ อาจวิไล, กรวิชญ์ ทะสา ต่างก็เล่นอย่างเป็นธรรมชาติและมีจินตนาการ การที่นักเตะเหล่านี้แสดงความกล้าหาญในการครองบอล, เลี้ยงบอล รวมไปถึงสร้างสรรค์เกม ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอนาคตของทีมชาติไทย
นี่คือสิ่งที่แฟนฟุตบอลต้องการเห็นจากนักเตะรุ่นใหม่ การไม่เกรงกลัวที่จะเล่นผิดพลาด การกล้าที่จะสร้างความแตกต่างด้วยทักษะเฉพาะตัว ต่อยอดถึงการแสดงออกถึงความมั่นใจในสนาม เป็นสิ่งที่ทำให้เกมของไทยดูมีชีวิตชีวาและน่าติดตามมากขึ้น
พลังและความสดใหม่ของนักเตะเหล่านี้สามารถเป็นแรงผลักดันให้ทีมชาติไทยมีมิติเกมรุกที่หลากหลายและคาดเดาได้ยากขึ้น
[3] ความฟิตยังมีปัญหา
เรื่องความฟิตยังคงเป็นปัญหาสำหรับทีมชาติไทยเสมอ เพราะตลอดทั้ง 90 นาที มีไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งที่พลเปลต้องแบกหามนักเตะออกจากสนาม แถมยังถึงขั้นต้องเปลี่ยนตัวในกรณีของ กรวิชญ์ ทะสา และ มาร์โค บัลลินี่
ปัญหานี้เป็นสิ่งที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน การขาดความฟิตไม่เพียงส่งผลต่อประสิทธิภาพของแต่ละบุคคล แต่ยังกระทบต่อระบบทีมโดยรวม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอคู่ต่อสู้ที่มีมาตรฐานสูงกว่า หรือในเกมที่ต้องเล่นต่อเนื่องในทัวร์นาเมนต์ยาวๆ
การเตรียมพร้อมทางด้านร่างกายที่สมบูรณ์จะช่วยให้นักเตะสามารถรักษาสมดุลของเกมและเล่นได้ตามแผนที่วางไว้ตลอดทั้ง 90 นาที รวมถึงลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้อีกด้วย
[4] แนวรับแสดงจุดอ่อน
การที่อินเดีย ซึ่งมีศักยภาพด้อยกว่า แต่กลับสามารถสร้างโอกาสได้มากมายในครึ่งหลัง เป็นสัญญาณอันตรายที่ไม่อาจมองข้ามได้
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแนวรับของไทยยังขาดความรัดกุมในการเข้าปะทะ การยืนตำแหน่ง รวมถึงการสื่อสารระหว่างกันในแผงหลัง การแก้ปัญหาในจุดนี้ต้องเริ่มตั้งแต่การซ้อมรูปแบบเกมรับ การเข้าเพรสซิ่ง และการรักษาระยะห่างระหว่างกองหลังแต่ละคน เพื่อไม่ให้มีช่องว่างให้คู่ต่อสู้โจมตีได้ง่าย
[5] เกมโต้กลับไม่เฉียบขาด
กับการที่อินเดียต้องเปิดเกมรุกในครึ่งหลัง มันจึงทำให้ทัพช้างศึกมีช่องในการเข้าทำมากยิ่งขึ้น แต่กลับแปรเปลี่ยนให้เป็นสกอร์ไม่ได้
การที่ทีมชาติไทยไม่สามารถเปลี่ยนโอกาสจากเกมโต้กลับให้เป็นประตูได้ แสดงให้เห็นถึงปัญหาในการตัดสินใจจังหวะสุดท้าย ความแม่นยำในการจ่ายบอล หรือแม้กระทั่งความใจเย็นในการจบสกอร์
หากทีมสามารถพัฒนาความเฉียบขาดในจังหวะสวนกลับได้ จะทำให้ทีมมีอาวุธที่น่ากลัวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเจอกับทีมที่เน้นเกมรุกและเปิดพื้นที่ว่างด้านหลัง ซึ่งการใช้โอกาสเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์จะช่วยลดแรงกดดันในเกมรับและปิดเกมได้เร็วขึ้น