"นายกก๊อง" ภูมิใจ เชียงใหม่ จัดคิงส์คัพ เผยค่าบัตรมอบโครงการทุนเรียนพระสงฆ์ไทย

"นายกก๊อง" ภูมิใจ จ.เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพจัดคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันจนเสนอตัวได้เป็นเจ้าภาพหนนี้ ชวนแฟนบอลไทยทั่วประเทศมาเชียร์ทีมชาติไทยติดขอบสนามคว้าถ้วยอันทรงเกียรติ เผยรายได้จากบัตรเข้าชมมอบให้โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย

"นายกก๊อง" พิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายก อบจ.เชียงใหม่ ในฐานะประธานจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 ระหว่างวันที่ 22-25 ก.ย.65 ที่ จ.เชียงใหม่ ได้เปิดใจว่า "ผมรู้สึกเป็นเกียรติและยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมงานการแถลงข่าวฟุตบอลรายการนี้ สำหรับที่ไปที่มาในการจัดครั้งที่ 48 หนนี้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ทั้งชาวโลกและ จ.เชียงใหม่ได้รับผลกระทบ ซึ่งการจัดคิงส์คัพก็ไม่ได้จัดมาหลายปี มีหลายจังหวัดที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพทั้ง เชียงราย, สงขลา และเชียงใหม่"

"โดยเชียงใหม่ได้มีทุกฝ่ายร่วมกันเพื่อขอเสนอตัวกับสมาคมฟุตบอลฯ เพราะผมถือว่าเชียงใหม่มีความพร้อม เชียงใหม่เป็นจังหวัดอันดับ 2 ของประเทศไทย ผมคิดว่าถ้ามีการจัดคิงส์คัพที่เชียงใหม่ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของ จ.เชียงใหม่ ให้เยาวชนมีความสนใจในการเล่นฟุตบอล  ซึ่งในเชียงใหม่มีคนสนใจเป็นจำนวนมากที่มีความพร้อมทั้งสนามกีฬา ที่พัก สนามบินที่ไม่ห่างไกลมาก"

"กว่าที่จะมาถึงวันนี้ก็มีอุปสรรคมากพอสมควร แต่ถึงเวลาเราต้องทำให้ได้ ผมคิดว่าเราสามารถจัดการแข่งขันได้แน่นอน และวันที่ 22 และ 25 ก.ย. ผมอยากเชิญชวนแฟนบอลเชียงใหม่ และแฟนบอลทั้วประเทศมาชมฟุตบอลกันที่สนาม การจัดแข่งขันนี้ อบจ.เชียงใหม่ รับเป็นเจ้าภาพ ใช้งบประมาณส่วน อบจ.เชียงใหม่ พร้อมด้วยองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน เราพร้อมแล้วที่จะจัดการแข่งขันฟุตบอลในครั้งนี้ ซึ่งผมต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกัน"

"เงินรายได้จากการจำหน่ายบัตร ผมได้ปรึกษาหารือในนามของ อบจ.เชียงใหม่ ปรึกษาทางภาคส่วนราชการ ปรึกษาทางผู้ว่าราชการ จ.เชียงใหม่ จะนำเงินรายได้จากการขายบัตร ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย"

สำหรับโปรแกรมศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 48 รอบรองชนะเลิศ ในวันพฤหัสบดีที่ 22 ก.ย.65 ตรินิแดดแอนด์โตเบโก พบ ทาจิกิสถาน เวลา 17.30 น. และทีมชาติไทย พบ มาเลเซีย เวลา 20.30 น. ฟาดแข้งกันที่สนามกีฬาสมโภชเชียงใหม่ 700 ปี


ที่มาของภาพ : Siamsport
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport