ผลพวงของทีมชาติอินโดนีเซีย ที่หมดสิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่น เวิลด์ คัพ 2026 เป็นที่แน่นอนแล้ว หลังแพ้ต่อซาอุดีอาระเบีย และอิรัก สะท้อนให้เห็นถึงมาตรฐานของฟุตบอลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ยังห่างไกลพอสมควร
แผนการที่ทัพการูด้าใช้คือการดึงผู้เล่นลูกครึ่งเข้ามาเสริมทัพอย่างเป็นระบบ ซึ่งมันทำให้ทีมดูมีศักยภาพที่น่าเกรงขามขึ้นมาในทันที แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว แผนนี้ยังคงเป็นเพียงการ 'ซื้อเวลา' และ 'ซื้อความหวัง' ในระยะสั้นเท่านั้น
ลองดูที่สถิติการจัดทัพของพวกเขาในรอบนี้ ในสองเกมสำคัญอินโดนีเซีย พึ่งพาผู้เล่นสายเลือดท้องถิ่นแท้ๆ เพียงแค่ 6 คนเท่านั้น โดยมีแกนหลักอย่าง ยาโคบ ซายูรี, เบ็คแฮม ปูตรา, ริคกี คัมบูอายา และ ยันเซ ซายูรี ที่ลงเล่นแมตช์ซาอุดีอาระเบีย (แพ้ 2-3)
ส่วนนัดปราชัยต่ออิรัก 0-1 นั้นใช้ ริซกี ริดโญ่, รอมาดาน ซานันตา และ คัมบูอายา ที่ได้เล่นต่อเนื่อง
การจัดทัพที่อาศัยผู้เล่นลูกครึ่งเป็นหลักนี้ แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ประเทศที่มีความพยายามสูงอย่างอินโดนีเซีย ก็ยังไม่สามารถผลิตนักเตะระดับสูงจากฐานรากภายในประเทศได้อย่างเพียงพอ
นี่คือความจริงอันเจ็บปวดที่ต้องยอมรับว่ามาตรฐานฟุตบอลอาเซียน ยังห่างไกลจากการไปตะลุยศึก เวิลด์ คัพ รอบสุดท้ายอยู่มาก
หลายคนอาจมองโลกในแง่ดีว่าการที่ ฟีฟ่า เพิ่มโควตาเป็น 8.5 ทีมในปี 2026 จะเป็นโอกาสทองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ในความเป็นจริง ความหวังดังกล่าวนั้นริบหรี่เหลือเกิน เมื่อมองไปยังการแข่งขันที่ดุเดือดของเอเชีย
โควตาครึ่งหนึ่งถูกจับจองแน่นอนแล้วโดยขาประจำอย่างญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิหร่าน, ออสเตรเลีย
ส่วนที่เหลืออีก 4.5 ที่นั่งนั้นเต็มไปด้วยคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่าเราหลายขุม
ในกลุ่มประเทศที่เคยไปฟุตบอลโลกมาแล้วก็มีทั้งซาอุดีอาระเบีย, กาตาร์ (เป็นเจ้าภาพ) และจีน
ยังมีที่พร้อมจะทวงคืนพื้นที่ของตัวเองและกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนก้าวขึ้นมาเป็นหัวแถวอย่างน่ากลัวคือ อุซเบกิสถาน, อิรัก, จอร์แดน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, โอมาน, บาห์เรน และซีเรีย
ขณะที่ทีมชาติไทย ซึ่งเป็นชาติที่มีแรงกิ้งดีที่สุดในอาเซียน ยังคงอยู่ในอันดับ 16 ของเอเชีย ซึ่งเป็นเพียงครึ่งต่อครึ่งเท่านั้น
ภาพสะท้อนจากความพยายามของอินโดนีเซีย จึงตอกย้ำความจริงที่ว่าการจะไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 'ไม่มีทางลัด' (ยกเว้นเสียแต่ว่าจะทุ่มเงินมหาศาลเพื่อเป็นเจ้าภาพเอง)
การพึ่งพานักเตะจากต่างแดนเป็นเพียงยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์สั้นๆ แต่ไม่สามารถรักษาโรคร้ายที่กัดกินโครงสร้างฟุตบอลระดับเยาวชนได้
หนทางเดียวที่ยั่งยืนคือการหันมาพัฒนา 'โครงสร้าง' ภายในของตัวเองให้แข็งแรงอย่างจริงจัง ต้องเริ่มต้นสร้างรากฐานตั้งแต่ฐาน แล้วค่อยๆ ต่อยอดไปทีละชั้นอย่างมานะอดทน
การก่อร่างสร้างมาตรฐานมันต้องเริ่มจากศูนย์ คือภารกิจที่ต้องทำในตอนนี้ หัวใจสำคัญที่สุดคือการ พัฒนาบุคลากรด้านโค้ช ต้องมีการอบรมและให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่โค้ชเยาวชนว่าการฝึกฟุตบอลเด็กอย่างแท้จริงควรเป็นอย่างไร
ไม่ใช่แค่การเน้นการลงทีมและเน้นผลการแข่งขันตั้งแต่เด็ก ซึ่งเป็นการทำลายกระบวนการเรียนรู้และสร้างความกดดันที่ไม่จำเป็น
โค้ชคือส่วนสำคัญที่สุดในการยกระดับฟุตบอลเยาวชน เพราะพวกเขาคือ 'ต้นตอ' ของความคิด, ทัศนคติและการพัฒนาทักษะพื้นฐานของเด็กๆ ที่จะกลายเป็นอนาคตของชาติ
อีกสิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาโค้ช คือการยกระดับคุณภาพของสนามแข่งขันทั่วประเทศ
สนามที่ขรุขระ บอลกระดอนไม่เป็นทรง ทำให้การฝึกทักษะการสัมผัสบอลที่ถูกต้องนั้นเป็นไปได้ยาก หากเยาวชนต้องฝึกบนสนามที่ไม่ได้มาตรฐาน พวกเขาก็จะติดนิสัยจับบอลหนึ่งจังหวะ แทนที่จะ 'คิดไว ทำไว' ซึ่งเป็นการเล่นที่ต้องเน้นความรวดเร็วมากกว่าความแม่นยำและการควบคุมบอล ซึ่งสวนทางกับมาตรฐานฟุตบอลระดับโลก
การได้สนามฝึกซ้อมที่ดีจะทำให้เยาวชนสามารถฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาในด้านอื่นๆ อีกมากมาย
นี่คือ 2 เสาหลักที่ต้องสร้างให้แข็งแรงที่สุด
เราไม่จำเป็นต้องมองไปไกลถึงยุโรป เราสามารถดูความสำเร็จของประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย ที่ทำได้แล้วอย่างอุซเบกิสถาน และจอร์แดน สองชาติที่เพิ่งสร้างประวัติศาสตร์
พวกเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน แต่มาจากการพัฒนาเยาวชนมาเป็นเวลานาน ด้วยความมานะอดทนอย่างไม่ย่อท้อ จนสามารถผลิตผลออกมาให้โลกได้เห็น
จอร์แดนที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอเชียน คัพ 2025 หรืออุซเบกิสถาน ที่มีนักเตะค้าแข้งในลีกใหญ่ของยุโรป มากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดก็คือญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ที่ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจลูกหนังแห่งเอเชีย อีกทั้งยังต่อกรกับทีมระดับโลกได้ใน เวิลด์ คัพ รอบสุดท้าย
ทั้งคู่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการจะประสบความสำเร็จในโลกลูกหนังนั้นต้องเริ่มจากการสร้างฐานล่างให้แข็งแรง ทั้งสองประเทศมีโครงสร้างเยาวชนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ซึ่งไม่ได้ทำใน 1 - 2 ปี หรือ 5 ปี หากแต่ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลากว่า 20 - 30 ปีแล้ว
ถึงเวลาที่ชาติในอาเซียนจะต้องถอดบทเรียนนี้ให้ลึกซึ้งและละทิ้งความเชื่อเรื่อง 'ทางลัด' ไปเสียที
การสร้างโครงสร้างที่แข็งแรงคือการลงทุนระยะยาวที่ต้องใช้ความอดทน แต่เป็นหนทางเดียวที่ยั่งยืนและจะพาเราไปสู่ความฝันฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้จริงที่สุด