33 ปีแห่งท่วงทำนองคลาสสิค! ธีมเพลง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เปลี่ยนภาพลักษณ์เกมลูกหนัง

33 ปีแห่งท่วงทำนองคลาสสิค! ธีมเพลง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เปลี่ยนภาพลักษณ์เกมลูกหนัง
เพลงธีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เต็มไปด้วยมนต์ขลัง ซึ่งคนรักฟุตบอลตัวจริงมักจะรู้สึกขนลุกและยิ้มด้วยความตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อเสียงเครื่องสายพร้อมกับท่วงทำนองแบบโอเปร่เปิดตัวดังขึ้น

สำหรับเพลงธีม "ยูซีแอล" ถูกใช้เป็นเสียงเรียกเข้า ร้องกันในสนามเด็กเล่น ร้องเล่นกันตามท้องถนน รวมถึงเปิดให้เด็กสงบลงก็ยังได้ และอื่นๆ อีกมากมาย แล้วที่มาที่ไปของเพลงสุดคลาสสิคนี้มาได้ยังไง มีเหตุอะไรถึงเลือกทำเพลงแนวนี้มาใช้กับเกมลูกหนังที่เต็มไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านแบบนี้ 

จุดเริ่มต้นของการมีเพลงธีมประจำรายการ ยูโรเปี้ยน คัพ นำไปสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ฟุตบอลถ้วยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรปที่มีมาตั้งแต่ปี 1955 และชื่อรายการที่กลายเป็นที่จดจำในปัจจุบัน

- จากวิกฤติยูโรเปี้ยน คัพ สู่ภาพลักษณ์ใหม่

ก่อนจะถึงปี 1992 การแข่งขันยูโรเปี้ยน คัพ ยังไม่มีเพลงธีมประจำรายการเลย ในช่วงทศวรรษ 1980 การแข่งขันประสบกับวิกฤตอย่างชัดเจนและต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน ภาพลักษณ์ของรายการถูกทำลายจากพฤติกรรมฮูลิแกนและโศกนาฎกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์ที่กรุงบรัสเซลส์ในนัดชิงระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ยูเวนตุส ซึ่งมีผู้เสียชีวิต และทำให้ฟุตบอลถูกมองว่าเป็นกีฬาสำหรับแฟนเดนตายเท่านั้น ไม่ใช่ความบันเทิงที่คนดูทั่วไปจะอยากติดตาม

ประการที่สอง สโมสรยักษ์ใหญ่ต่างเดือดดาลกับรูปแบบการแข่งขันที่พวกเขาอาจตกรอบได้ตั้งแต่รอบแรก โดยบรรดาเจ้าของทีมมองว่าโครงสร้างเดิมนั้น "ความล้าสมัย" และ "ไร้ประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจ" เพราะสโมสรใหญ่สามารถหลุดออกจากรายการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ 

การมองฟุตบอลอย่างชัดเจนว่าเป็นผลิตภัณฑ์สื่อ ซึ่งหากจัดการอย่างมีระบบสามารถสร้างรายได้ให้สโมสรและผู้ถ่ายทอดสดได้มากกว่าที่เคยเป็นมา และภายใต้ระบบเดิม ไม่มีใครสามารถวางแผนหรือทำเงินจากเกมฟุตบอลถ้วยใบโตยุโรปได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย 

สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) มองเห็นศักยภาพดังกล่าวจึงผลักดันให้มีการปรับรูปแบบการแข่งขันใหม่ แบ่งเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แข่งขันพบกันหมดแบบเหย้า-เยือนในกลุ่ม จากนั้นไปไขว้ในรอบลึก คล้ายระบบฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป

นอกจากนี้ยังเปลี่ยนแบบลูกฟุตบอล เปลี่ยนโลโก้ เปลี่ยนชื่อจากยูโรเปี้ยนคัพ เป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และที่สำคัญก็คือ มีการสร้างเพลงประจำการแข่งขันขึ้น งานนี้ "ทีม มาร์เกตติ้ง" (TEAM Marketing) บริษัทด้านการตลาด กลายเป็นพันธมิตรทางการค้ารายเดียวของ "ยูซีแอล" และได้รับมอบหมายให้สร้างภาพลักษณ์ใหม่ทั้งหมดให้กับรายการนี้

- เหตุผลที่เลือกใช้ท่วงทำนองดนตรีคลาสสิค

แนวคิดในการสร้างดนตรีประจำรายการมาจากโจทย์ง่ายๆ ข้อหนึ่ง: แชมเปี้ยนส์ ลีก ควรใช้ "เสียงเพลง" และภาพลักษณ์ใหม่ในการฟื้นความรักที่ผู้คนมีต่อฟุตบอล ให้กลับมาเป็นเกมที่ทุกคนสนุกกับมันได้ พร้อมทั้งสื่อถึงความสมบูรณ์แบบและความยิ่งใหญ่ ดนตรีคลาสสิคจึงตอบโจทย์นี้อย่างลงตัว  

สำหรับท่วงทำนองที่ติดหูและตราตรึงใจเป็นการประพันธ์ขึ้นมาโดย โทนี่ บริตเทน ซึ่งจบมาจาก รอยัล คอลเลจ ออฟ มิวสิค ในปี 1992 ตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับงานโฆษณาและการทำเพลงประกอบภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ ดังนั้นเมื่อเอเจนต์นำงานมาเสนอให้ทำ เจ้าตัวจึงไม่ได้มองว่ามันเป็นโปรเจ็กต์ยิ่งใหญ่แต่อย่างใด

กระนั้นด้วยเวลาอันกระชั้นชิด ทำให้ บริตเทน ต้องเร่งมือ เขาจึงไปหยิบเอาเพลง "แซดอค เดอะ พรีสต์" (Zadok the Priest) หรือเพลงชาติอังกฤษสมัยพระเจ้าจอร์จ มาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างธีมเพลงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 

- ตอบโจทย์ในสิ่งที่ ยูฟ่า ต้องการ

ตามโจทย์ที่ ยูฟ่า ให้ไว้ คือการลดอุณหภูมิอารมณ์อันธพาลลูกหนังที่กำลังแสดงแสนยานุภาพในปลายยุค 80 จนถึงต้นทศวรรษ 1990 โดย บริตเทน จึงร่ายมนต์ด้วยเพลงสวดสดุดีพระเจ้าจอร์จ ปรับเนื้อหาเปลี่ยนจากเพลงสรรเสริญมาเป็นมหากาพย์เกมลูกหนัง และทันเวลาเปิดตัวของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก โฉมใหม่

บทเพลงนี้บรรเลงโดยวง รอยัล ฟิลฮาร์โมนิค ออร์เคสตร้า ขับร้องประสานเสียงโดย อะคาเดมี่ ออฟ เซนต์ มาร์ติน ซึ่งเนื้อเพลงจะเป็นทั้งภาษาฝรั่งเศส, เยอรมัน และ อังกฤษ โดยทำนองและเนื้อร้องติดหูผู้ฟังทันที

แน่นอว่าสิ่งนี้ทำให้คอลูกหนังรู้สึกประหลาดใจ เพราะฟุตบอลมักถูกเชื่อมโยงกับดนตรีร็อก แอนด์ โรล มากกว่าดนตรีคลาสสิค และทุกคนก็มักคิดว่าควรใช้เพลง "วี อาร์ เดอะ แชมเปี้ยนส์ (We Are the Champions) ของวงควีน (Queen) เป็นพื้นฐาน แต่การใช้เพลงคลาสสิคสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน  

- กว่า 3 ทศวรรษแห่งเพลงสุดคลาสสิค

ตลอดระยะเวลา 33 ปีที่ธีมเพลง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ยังคงสร้างความตื่นเต้น และน่าประทับใจให้กับแฟนบอลทั่วโลกเสมอ ทุกครั้งที่ได้ยินท่วงทำนองสุดคลาสสิคนี้ นั่นคือสัญญาณบ่งบอกถึงเกมลูกหนังที่สนุกตื่นเต้น และเต็มไปด้วยความสุขตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกจนถึงสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้าย

ที่สำคัญเพลง "แชมเปี้ยนส์ ลีก" (Champions League) เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนว่า เกมฟุตบอลที่ร้อนระอุในสนามสามารถเดินเคียงข้างกับท่วงทำนองคลาสสิค และเสียงร้องแบบโอเปร่าได้อย่างลงตัว 

✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄



ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport