การประกาศศักดาแห่ง แอนฟิลด์ ลิเวอร์พูล 1-0 เรอัล มาดริด ค่ำคืนที่ อาร์เน่อ ได้รับการพิสูจน์
แอนฟิลด์ เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ได้เป็นเพียงสนามฟุตบอล หากแต่เป็นเวทีพิสูจน์ศรัทธาของ อาร์เน่อ
เฮดโค้ชดัตช์ถูกตั้งคำถาม, ถูกวิจารณ์, ถูกกดดัน แต่กลับตอบทุกเสียงนั้นด้วยผลงานอันยอดเยี่ยม
การเอาชนะ เรอัล มาดริด อย่างเด็ดขาดและเหนือชั้นกว่าที่ตัวเลขสกอร์บอร์ดบอกไว้
นี่คือชัยชนะที่มากกว่าผลการแข่งขัน มันคือการประกาศศักดาว่า ลิเวอร์พูล ยังอยู่ตรงนี้ และยังคงเป็นหนึ่งในทีมที่น่ากลัวที่สุดในยุโรป
ผลงานที่ออกมามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของความเข้าใจเกมอย่างลึกซึ้งของ อาร์เน่อ ที่มีเหนือ ชาบี อลอนโซ่ (อีกครั้ง)
ลิเวอร์พูล เอาชนะ เรอัล มาดริด ชุดที่แข็งแกร่งกว่าฤดูกาลก่อนด้วยซ้ำ ซึ่งก่อนเกมนี้พวกเขาเพิ่งแพ้ไปเพียงนัดเดียวตลอดทั้งฤดูกาล
สิ่งที่เกิดขึ้นที่ แอนฟิลด์ คือ ลิเวอร์พูล ควบคุม เรอัล มาดริด ได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะเป็นฝ่ายครองบอลน้อยกว่าถึง 39 ต่อ 61 เปอร์เซ็นต์ก็ตาม
แท็กติกของ อาร์เน่อ สะท้อนแนวคิดที่เฉียบแหลม
เขาไม่ได้ต้องการครองเกมผ่านการครอบครองบอล แต่ควบคุมผ่านจังหวะ และพื้นที่เหมือนที่เคยใช้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อฤดูกาลก่อน
การตั้งรับในบล็อกที่ต่ำกว่าเล็กน้อย และรอจังหวะสวนกลับที่เฉียบขาด
ผลที่ได้คือ ลิเวอร์พูล ปล่อยให้ มาดริด ครองบอลโดยแทบไม่ได้สร้างความอันตรายใด ๆ
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า "sterile possession" การครอบครองที่หมัน ไร้ผล ไร้ประสิทธิภาพในการเจาะคู่แข่ง
หรือง่าย ๆ คือ การครอบครองบอลที่มีปริมาณมาก แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการคุกคามหรือสร้างโอกาสทำประตูคู่ต่อสู้
...
แม้สกอร์จะจบเพียง 1-0 แต่สถิติทั้งหมดคือคำยืนยันที่ชัดเจนว่า ลิเวอร์พูล เหนือกว่าจริง
ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนถึงเกมที่ ลิเวอร์พูล ไม่เพียงสร้างสรรค์โอกาสได้มากกว่า แต่ยังจำกัดคู่แข่งให้อยู่ในระดับที่แทบไม่สามารถยิงประตูได้เลย
สิ่งเดียวที่ยืนขวางระหว่างชัยชนะที่ขาดลอยกับผล 1-0 คือความหนึบของ ติโบต์ กูร์กตัวส์ ที่โชว์เซฟสำคัญหลายครั้ง คล้ายกับฟอร์มเทพในนัดชิงแชมเปียนส์ลีกที่กรุงปารีส เมื่อสองปีก่อน
สิ่งที่ทำให้เกมนี้โดดเด่นไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ แต่คือวิธีที่ อาร์เน่อ ทำให้ทีมเล่นอย่างมีโครงสร้างและมีจุดมุ่งหมายชัดเจน
เขาเลือกคงกองกลางสามคนเดิมไว้ ใช้ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน คืนตำแหน่งแบ็กซ้ายเต็มรูปแบบ และมอบโอกาสให้ ฟลอเรียน เวียตซ์ ลงตัวจริง
การตัดสินใจทั้งหมดนี้ ถูกต้องเอามาก ๆ
มันคือการจัดทีมที่สมดุลทั้งเกมรุกและเกมรับ แล้วได้ผลลัพธ์คือความนิ่งของลิเวอร์พูลที่เราคุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง
...
ก่อนเสียงนกหวีดเริ่มเกม เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เดินออกมานั่งบนม้านั่งสำรองของ เรอัล มาดริด และทันใดนั้นเสียงเพลงจากเดอะ ค็อปก็ดังก้อง
"There’s only one Conor Bradley."
เสียงเพลงนั้นไม่ได้มีไว้เย้ยอดีต แต่มันคือการยกย่องปัจจุบัน แบ็กขวาที่เติบโตขึ้นมาจากอะคาเดมี่สโมสร และค่ำคืนนี้ แบร็ดลี่ย์ คือผู้ชายที่ แอนฟิลด์ ทั้งสนามยืนปรบมือให้
ฤดูกาลนี้เส้นทางของ แบรดลี่ย์ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หลังการย้ายออกของ เทรนต์ เขายังต้องต่อสู้เพื่อพิสูจน์ตัวเอง
อาการบาดเจ็บช่วงปรีซีซั่นทำให้เสียจังหวะ ฟอร์มขึ้น ๆ ลง ๆ จน อาร์เน่อ ต้องหมุนตำแหน่งอยู่พักใหญ่
แต่เกมกับ แอสตัน วิลล่า เมื่อสุดสัปดาห์ก่อนคือจุดเริ่มของการกลับมา และค่ำคืนที่ผ่านมากับ เรอัล มาดริด เขาก็ยกระดับออกมาให้เห็นชัด
เขาได้คำตอบของตัวเอง แบรดลี่ย์ เล่นเกมรับได้อย่างแข็งแกร่งและมั่นใจ
เหนือสิ่งอื่นใด เขาปิดตายวินิซิอุส จูเนียร์ ได้อย่างสมบูรณ์ ตัวรุกบราซิเลี่ยน ชนะดวลได้เพียง 2 จาก 9 ครั้ง แค่นั้นเอง
ช่วงหนึ่งในเกม วินิซิอุส ถึงขั้นถูกใบเหลืองจากการเข้าบอลด้านหลัง แบรดลี่ย์ ที่กำลังพาบอลเข้าหาเขตโทษ และทุกครั้งที่เจ้าหนูจากไอร์แลนด์เหนือแตะบอล เสียงเชียร์ "Conor Bradley!" ก็ดังก้องทั่วสนาม
นาทีสุดท้ายของเกม เมื่อ เทรนต์ ถูกส่งลงสนามและพลาดจังหวะครอส เสียงเฮประชดก็ดังลั่น
แต่ทันทีที่นกหวีดสุดท้ายดังขึ้น เสียงเพลงเดิมกลับมาอีกครั้ง
“There’s only one Conor Bradley.”
มันคือการประกาศศักดาอย่างไม่ต้องพูดคำใดเลย
...
เกมนี้คือเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของ แม็ค อัลลิสเตอร์ ในฤดูกาลนี้
เขาคือจุดศูนย์กลางในการเชื่อมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งการออกบอลแรก การตัดจังหวะ การเชื่อมเกมรุก และที่สำคัญที่สุดคือ ประตูชัยที่เขาโหม่งผ่านมือ กูร์กตัวส์ ไปแบบสุดแรง
เขามีโอกาสยิง 4 ครั้ง มีเปอร์เซ็นต์จ่ายบอลสำเร็จถึง 91%
ตรงแดนกลางที่แน่นหนา นี่คือผลงานระดับมิดฟิลด์ครบเครื่องที่สะท้อนความมั่นใจและคลาสของแชมป์โลกจาก อาร์เจนติน่า
นี่คือกองกลางที่เปรียบเหมือนเครื่องยนต์ดีเซล เดินเงียบแต่ทรงพลัง
...
ในที่สุด อาร์เน่อ ก็หาทางปลดล็อก เวียตซ์ ได้สำเร็จ
ตำแหน่งริมเส้นด้านซ้ายที่ให้สิทธิ์เคลื่อนที่อย่างอิสระกลายเป็นเวทีที่เขาได้โชว์ความคิดสร้างสรรค์เต็มที่
เวียตซ์ สร้างโอกาสได้มากถึง 5 ครั้ง มากกว่าผู้เล่นคนอื่นในสนามทั้งหมด
เขาเป็นทั้งตัวทะลุช่อง ตัวปั้นเกม และตัวลากบอลในคนเดียว
ตำแหน่งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมมีมิติในการสร้างเกมบุก (สามารถเข้ามาเป็นกองกลางรูปสี่เหลี่ยมได้) แต่ยังช่วยให้ เวียตซ์ ได้เปรียบในแง่ของความเร็วในการเลี้ยงบอลและหลีกเลี่ยงการถูกประกบติดแน่นตรงกลางสนาม
เขาขยันเพรสซิ่งแบบมีระบบ และฉกบอลจากมาดริดได้หลายครั้ง ทั้งจาก ดีน เฮาเซ่น และ เอดูอาร์โด้ กามาวินก้า ยังไม่รวมจังหวะเปิดเตะมุมที่ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โหม่งเช็ด แต่ กูร์กตัวส์ ต้องปัดออกปลายมือ
แม้ไม่มีชื่อบนสกอร์บอร์ด แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเขาเต็มไปด้วยความหมาย เหมือนศิลปินที่สร้างสมดุลระหว่างศิลปะและกลยุทธ์
ค่ำคืนนี้คือการบอกให้ทุกคนเห็นว่า เวียร์ตซ์ ในระบบ อาร์เน่อ คือของจริง พราะมันดึงศักยภาพสูงสุดของนักเตะรายนี้ออกมา
...
การกลับมาของ โรเบิร์ตสัน คือการคืนพลังให้กับฝั่งซ้าย ลิเวอร์พูล
เขาไม่เพียงเพิ่มความมั่นคงในเกมรับ แต่ยังนำประสบการณ์ ความมุ่งมั่น และภาวะผู้นำกลับมาด้วย
เขาชนะการดวล 5 จาก 7 ครั้ง รับมือกับแนวรุก มาดริด ได้อย่างยอดเยี่ยม และช่วยขับเคลื่อนทีมให้เล่นด้วยความเชื่อมั่นตลอด 90 นาที
บรรยากาศแบบนี้คือสิ่งที่แฟนบอล ลิเวอร์พูล เฝ้ารอ
แอนฟิลด์ที่เต็มไปด้วยเสียงตะโกน เสียงเชียร์ และความเชื่อร่วมกัน
เมื่อทีมและแฟนเชื่อในสิ่งเดียวกัน ลิเวอร์พูลจะกลายเป็นพลังที่ยากจะหยุดยั้งเสมอ
เสียงเพลง "You’ll Never Walk Alone" ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มของนักเตะทุกคนที่เดินออกจากสนาม
มันไม่ใช่เพียงชัยชนะเหนือเรอัล มาดริด แต่มันคือชัยชนะเหนือความสงสัย ความกดดัน และความกลัวที่พวกเขาผ่านมา
ถ้าพวกเขาสามารถรักษามาตรฐานแบบนี้ไว้ได้ในทุกสัปดาห์
ช่วงเวลาที่เหลือของซีซั่นนี้อาจกลายเป็นที่ทุกคนจะได้เห็น ลิเวอร์พูล กลับมาท้าทายอีกครั้ง อย่างสง่างามและเด็ดขาดที่สุด
...
ลิเวอร์พูล ยังอยู่ตรงนี้ ทีมที่พร้อมจะกลับมาทุกครั้งแม้จะถูกทำร้ายจากความคาดหวัง
จากวันที่โดนตั้งคำถาม ถึงวันที่ได้รับเสียงปรบมือ
จากเสียงวิจารณ์ที่เคยดังลั่น สู่เสียงเพลง "You’ll Never Walk Alone" ที่กลับมาก้อง
อาร์เน่อ และลูกทีมไม่ได้แค่เอาชนะ มาดริด แต่พวกเขาเอาชนะช่วงเวลาที่แหลกสลายของตัวเอง
และแฟนบอลก็ยังอยู่ตรงนั้น ร้องเพลงด้วยหัวใจที่เหมือนเดิม
"ถ้าเธอมีน้ำตา ถ้าเธอต้องช้ำใจ…ฉันอยู่ตรงนี้"
ลิเวอร์พูล ก็อยู่ตรงนี้เสมอเช่นกัน
#HOSSALONSO