คุณจะมอง มาร์กอส ยอเรนเต้ ในมุมไหนก็ได้ เพราะที่ สเปน เองก็มีเสียงวิจารณ์และปฏิกิริยามากมายต่อเขามาตลอด ทั้งจากโพสต์ชวนงงในโซเชียลมีเดีย หรือความเห็นที่ออกจะแหวกแนวเกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยก็คือ เขาคือคนที่รู้ดีว่าจะทำให้แฟน ลิเวอร์พูล ทั้งสนามเงียบลงได้อย่างไร
ที่ แอนฟิลด์ แห่งนี้ ยอเรนเต้ เคยมีค่ำคืนที่ดีที่สุดในอาชีพเมื่อเดือนมีนาคม 2020
ยิงสองประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ พา แอตเลติโก เขี่ย ลิเวอร์พูล ในฐานะแชมป์เก่า ตกรอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเหตุการณ์วันนั้นมีความหมายกับเขามาก จนถึงขั้นตั้งชื่อสุนัขของตัวเองว่า "Anfield"
เวลาผ่านมา 5 ปีกว่า ยอเรนเต้ ย้อนกลับมายิงที่นี่สองลูกได้อีกครั้ง พลิกสถานการณ์จากตามหลัง 0-2 มาเป็น 2-2 ได้สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามทั้งหมดกลับไร้ค่า เมื่อฝั่งทีมเยือนจากเมืองหลวง สเปน เสียประตูจากการประกบหละหลวมจังหวะลูกเตะมุมช่วงทดเจ็บ
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ตั้งหัวโขกให้เจ้าถิ่น ลิเวอร์พูล คว้าชัยชนะไปแบบระทึก และเป็นเกมที่ 5 ติดต่อกันแล้วที่ลูกยิงนำชัยเกิดขึ้นในช่วงท้ายเกม
...
ถามว่าทำไม ลิเวอร์พูล ถึงยิงประตูท้ายเกมได้อยู่เรื่อย ๆ ?
หลายคนเชื่อว่าการฝากความหวังไว้กับประตูท้ายเกมแบบนี้ไม่น่าจะยั่งยืน แต่อีกมุมหนึ่ง ลิเวอร์พูล ก็แสดงให้เห็นว่า หัวจิตหัวใจ, ความมุ่งมั่น และทัศนคติอันแข็งแกร่ง มันทำให้ทุกอย่างยังเป็นไปได้
เมื่อใดที่พวกเขาต้องการประตู จะยังมีเวลาพอเสมอที่จะหาทางทำได้
"ทุกคนคงพูดถึงประตูช่วงท้ายเกม เพราะมันคือเรื่องราวของเกม เหมือนกับอีก 4 นัดที่ผ่านมา แต่สำหรับผม เกมนี้มันไม่ใช่อย่างนั้น"
เฮดโค้ชอาร์เน่อ พยายามอธิบายต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
"ผมอยากให้เราพูดถึงการเข้าทำเกมรุกมากกว่า อย่างจังหวะที่ ฟลอเรียน กับ อเล็กซ์ ประสานงานกันได้ดี หรือการบุกที่ยอดเยี่ยมแล้วจบลงด้วยการที่ โม ยิงชนเสา ผมสามารถยกตัวอย่างการเข้าทำที่สวยงามได้หลายครั้งในวันนี้"
"เราฟิตมากพอที่จะบุกใส่อีกครั้งในช่วงท้าย แต่ผมมั่นใจว่าเราไม่จำเป็นต้องพึ่งช่วงทดเจ็บทุกเกมหรอก จะมีบางนัดที่เราสร้างโอกาสมากมายและไม่จำเป็นต้องรอท้ายเกมเพื่อหาประตูชัย และก็จะมีบางนัดที่เราต้องการประตูในนาทีสุดท้ายแต่ทำไม่ได้"
"ผมเห็นหลายอย่างที่ดีมาก แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราปล่อยให้คู่แข่งตีเสมอจากการนำ 2-0 มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฤดูกาลก่อน"
"เพราะฉะนั้น ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงอีกมาก แต่ก็มีหลายอย่างที่น่าพอใจเช่นกัน"
กับการลงเล่นนัดแรกให้ ลิเวอร์พูล ของ อเล็กซานเดอร์ อิซัค 57 นาที
แม้ในครึ่งแรกเขาจะได้สัมผัสบอลน้อยสุดเพียง 17 ครั้ง และมีเปอร์เซ็นต์การจ่ายบอลแม่นยำต่ำสุดของบรรดาผู้เล่นเอาท์ฟิลด์ (63%) แต่ อิซัค ก็เป็นคนที่ทำให้แฟนบอลตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้ครองบอล
ตั้งแต่ตอนประกาศชื่อเสียงเฮก็ดังสนั่นไปทั่ว แอนฟิลด์ และทันทีที่เกมเริ่ม ก็เห็นได้ชัดว่าพลังของสนามถูกดึงไปที่กองหน้าหมายเลข 9 คนใหม่
มีจังหวะหนึ่งล้มลงไปนอนคว่ำหลังถูก โรบิน เลอ นอร์กม็องด์ เข้าปะทะหนัก ๆ แต่กลับเหมือนยิ่งทำให้เขามุ่งมั่นมากขึ้น หลังจากนั้นจึงเป็นช่วงที่เล่นได้ดีที่สุด มีทั้งการยิงไกลสองครั้ง และจ่ายบอลสวยให้ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ จนเกือบได้ประตูเพิ่มก่อนหมดครึ่งแรก
ครึ่งหลัง อาร์เน่อ ให้เวลาเขาเพิ่มอีก 10 นาที แต่เห็นได้ชัดว่าพละกำลังเริ่มลดลง จึงตัดสินใจเปลี่ยนตัวออกท่ามกลางเสียงปรบมือชื่นชมกึกก้องทั่วสนาม
อาร์เน่อ ยอมรับว่าตัวเองประหลาดใจกับสภาพความฟิตของ อิซัค ที่ดีกว่าที่คาดไว้และแย้มว่าอาจได้ออกสตาร์ทตัวจริงอีกครั้งในเกม เมอร์ซี่ย์ ไซด์ ดาร์บี้ เสาร์นี้
"ก็เป็นไปได้ แต่เขายังไม่สามารถเล่นครบ 90 นาทีได้ นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องเข้าใจ" เขาตอบกับ TNT SPORTS ที่ถามว่าจะลงตัวจริงเกมเจอ เอฟเวอร์ตัน ต่อเลยไหม
"ผมประหลาดใจในเชิงบวกกับความฟิตของเขาตลอด 60 นาที นั่นอาจเป็นเพราะมันต่างออกไประหว่างการเซ็นสัญญากับนักเตะอายุ 20 ปีจากลีกอื่น กับนักเตะอายุ 25 ปีที่เคยเล่นในลีกนี้แล้ว"
"ผมประหลาดใจกับความฟิต แต่ไม่แปลกใจกับคุณภาพฝีเท้า มันยอดเยี่ยมเสมอที่เห็นนักเตะเริ่มต้นได้แบบนี้ เปิดตัวได้ดี แม้จะเล่นแค่ 60 นาที ตอนนี้เราต้องค่อย ๆ สร้างเขาขึ้นจากตรงนี้"
...
ถ้าใครยังคิดว่าฟอร์มแรงของ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เมื่อฤดูกาลที่แล้วเป็นเพียงแค่ไฟแลบชั่วคราว ก็คงต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่
การเติบโตของหนุ่มกราฟ เดินทางมาถึงจุดที่สมบูรณ์แล้วจริง ๆ กราเฟนแบร์ก กลายเป็นกองกลางที่ครบเครื่อง ทั้งสารพัดประโยชน์และแทบไม่มีจุดอ่อน เกมที่ แอนฟิลด์ เมื่อคืนนี้ เขาคุมทุกอย่างไว้ได้ราวกับเป็นเจ้าของสนาม
ทุกการจ่ายบอล, การแท็กเกิล, การแทงทะลุช่อง ล้วนมีลายเซ็นของเขาประทับอยู่
กราเฟนแบร์กคือ เครื่องดนตรี เมโทรโนม ของ ลิเวอร์พูล เป็นตัวขับเคลื่อนจังหวะที่ทำได้ทั้งรุกและรับในเวลาเดียวกัน
ไม่มีรายละเอียดไหนเล็ดรอดสายตา เขาคือทั้งตัวปั้นเกมและกันชนสำคัญไปพร้อมกัน
ถ้าบริหารสมดุลเรื่องการพักและการฟื้นฟูได้ถูกจังหวะ ฤดูกาลนี้เครื่องยนต์แดนกลางของ ลิเวอร์พูล อาจเดินเครื่องได้เต็มกำลัง
...
แล้วเรื่องของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เป็นอย่างไร ?
"เอล โชโล่" ยอมรับว่าปฏิกิริยาของเขาที่มีต่อแฟนบอล ลิเวอร์พูล เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะคารมริมสนาม
กุนซือแอต.มาดริด เผยว่าเขาเผลอด่าแฟนบอลรายหนึ่งจริง ๆ ช่วงหลังประตูชัยท้ายเกมของ ฟาน ไดค์ ที่ทำให้ "ตราหมี" ต้องพ่ายแพ้ พร้อมยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาข้ออ้างได้”
กล้องถ่ายทอดสดจับภาพได้ชัดเจนว่า กุนซือชาวอาร์เจนไตน์มีท่าทีไม่พอใจต่อแฟนบอลที่นั่งอยู่หลังม้านั่งสำรองฝั่งแอนฟิลด์
เขาเดินเข้าไปบริเวณนั้นถึงสองครั้งจนสตาฟฟ์โค้ชและเจ้าหน้าที่สนามต้องเข้ามาห้ามปราม และระหว่างที่เดินไปหาผู้ตัดสินที่ 4 ซิเมโอเน่ ยังโบกมือย้อนกลับไปทางอัฒจันทร์ ก่อนจะถูก เมาริซิโอ มาริอานี่ ควักใบแดงไล่ออกจากสนามทันที
หลังจบเกม ซิเมโอเน่ ให้สัมภาษณ์กับ Movistar แบบโคตรจะแมนเลยนะครับ ไปอ่านดูว่าเขาพูดว่าอะไร
"แฟนบอลด้านหลังม้านั่งด่าผมมาตลอดทั้งเกม ผมในฐานะโค้ชพูดอะไรกลับไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่ยอมรับว่าปฏิกิริยาของผมอธิบายไม่ได้จริง ๆ"
"ผมเผลอหลุดปากด่าเขาไป แต่ลองคิดดูสิ โดนด่ามา 90 นาทีเต็ม แล้วพอคู่แข่งยิงประตูได้ก็ยังตามด่าไม่หยุด มันไม่ง่ายเลยที่จะควบคุมอารมณ์”
"ผู้ตัดสินเข้าใจสถานการณ์ ผมหวังว่าสโมสรใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล จะจัดการเรื่องนี้ได้ ถ้าระบุตัวแฟนบอลที่ทำผิดได้ก็ควรมีบทลงโทษ"
" แต่สุดท้ายแล้ว คนที่ต้องควบคุมอารมณ์และรับเสียงด่าเอาไว้ก็คือผม ในตำแหน่งผู้จัดการทีมแบบนี้ก็ทำได้แค่อดทน"
"HOSSALONSO"