ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลีกเฟส นัดแรก อาร์เซนอลบุกชนะบิลเบา 2-0 จากสองสำรอง ทรอสซาร์–มาร์ติเนลลี อาร์เตต้าปรับแท็กติกพลิกเกมสุดเฉียบ
ชปล 189 แมตช์ เริ่มต้นนัดแรกรอบ ลีกเฟส
อาร์เซนอล, สเปอร์ส และเรอัล มาดริด ชนะ แต่เกมสุดมันคงอยู่ที่ ยูเวนตุส 4-4 ดอร์ทมุนด์ ไม่ได้ชมเกมคู่นี้... ผมไม่อยากเปลี่ยนช่องบีอิน สปอร์ต ได้แต่ชมไฮต์ไลต์ พักครึ่งและหลังเกม ม้ากับเสือ ปักหลักคู่เรอัล มาดริด กับ โอแอม ยาวๆ
ส่วนคู่แรกของค่ำคืน แชมเปี้ยนส์ ลีก อยู่ที่ บิลเบา อาร์เซนอล โชว์ศักยภาพเชิงลึกชนะได้ไม่ยาก ใครพลาด...ผมวิเคราะห์ให้อ่านกัน
ศักยภาพของปืนใหญ่
ถ้าฟิตๆ ไม่มีใครเจ็บ อาร์เซนอลจัดได้สองทีม แต่ละตำแหน่งมี 2 คนเพื่อแย่งชิงตัวจริง หลายคนจากเป็นตัวจริง..เริ่มต้นปีนี้สำรอง หลายคนดูเงียบไปหลังออกตัวได้เดือนกว่า
กระนั้นบอลเล่นกันทั้งซีซั่น 3-4 ถ้วยแบบนี้ ผู้จัดการทีมจะได้ประโยชน์จากเชิงลึกของทีม เหมือนอาร์เซนอลในเกมเชือดบิลเบานี่แหละ
MK ยังจัดตัวจากชุดล่าสุด ปรับ เดแคลน ไรซ์ ลง พร้อมกับ ซูบิเมนดี และ เมริโน สามประสานมิดฟิลด์ ขณะที่ มาร์ติน โอเดการ์ด พักไปก่อนเพราะเจ็บ โดย ไรซ์ ยืนแทนตำแหน่ง โอเดการ์ด เป็นดับเบิล 8 กับ เมริโน โดย ซูบิ คือ 6 นอกนั้นชุดเดิม ไม่มีปรับอะไร
เกมแพลน...ก็ตามนั้น บิลเบาเล่นแค่แดนสอง พื้นที่มิดฟิลด์ ดุดัน เล่นหนัก ไม่ให้ปืนเล่นง่าย กระนั้น...โอกาสยิงของกันเนอร์ส ก็มี ไม่ใช่ไม่มี เหมือนมันยังติดอะไรนิดๆ หน่อยๆ โดยเฉพาะ โยเคเรส
อาร์เตต้า แก้เกม...
การแก้เกม..ของโค้ช มันคือการเปลี่ยนตัวสำรอง เปลี่ยนลงไปแล้วมีผลเชิงบวกหรืออิมแพกต์ ต่อเกม จากที่เล่นตื้อๆ ตัวสำรองลงไป มีโอกาสพลิกเกม ยิงประตูเพื่อชัยชนะ...จะเปลี่ยนตามตำแหน่ง หรือตามจังหวะเวลา
อันนี้แล้วแต่วิธีการของโค้ช.... ผมมองว่า อาร์เตต้า เปลี่ยนทั้งตามตำแหน่ง รวมทั้งตามจังหวะเวลาที่ต้องเปลี่ยน อย่าง โยเคเรส ให้เล่นชั่วโมงกว่าๆ เขาเลือกเปลี่ยน ทรอสซาร์ ลงมา 9 ปลอม อันนี้คนละแบบเลย ไม่ใช่เปลี่ยนตามตำแหน่ง
จากนั้นหยอด มาร์ติเนลลี แทน เอเซ ตามตำแหน่ง แต่จังหวะเวลาเหมาะสมแล้วที่ต้องเปลี่ยน เอเซ
มีผลมั้ย...สองคนนี้ วัดจากสกอร์และแอสซิสต์ ใช่เลย วัดจากแทกติก มองไม่ชัดเท่าไหร่
ประตู 1-0 หลังมาร์ติเนลลีลงไป 36 วินาที เปลี่ยน นาที 70.35 ยิงประตู นาที 71.11 ประตูขึ้นนำปลดล้อคเกิดจาก...การบุกของบิลเบา บุกแบบให้ อูไน ซิมอน เปิดยาวขึ้นมา ไม่บิลด์ อัพ มอสเกรา ชิงโหม่ง ต่อด้วย ไรส์ ตามน้ำ บอลสองเป็นของ ทรอสซาร์ แถวๆ วงกลมกลางสนาม
จังหวะนั้นบิลเบา ดันกองหลังขึ้นมาหมดแล้ว "ไฮไลน์" ทรอสซาร์ ได้บอล กระดกข้ามไลน์เกมรับ ให้ มาร์ติเนลลี เท่านั้นเอง พื้นที่กว้างใหญ่เท่ามหาสมุทรแอตแลนติก มาร์ติเนลลี ควบเข้าเขตโทษ ยิงเร็วโดนมือ ซิมอน ปลิ้นเข้า
การนำ 1-0 น.72 ทำให้เล่นง่ายขึ้น ส่วนประตู 2-0 น.87 เป็นการเปลี่ยนทรานสิชั่น ประกอบกับ บิลเบา ยืนไม่แน่น ค่อนข้างหลวม การโจมตีของปืนจากขวาไปซ้าย ไรส์ ให้ มาร์ติเนลลี
1 ต่อ 1 พาบอลกระชากหนีจนสุดเส้นหลัง ตอนแรก ทรอสซาร์ อยู่กับเซนเตอร์บิลเบา ปาเรเดส แต่พอ มาร์ติเนลลี ถึงเส้นหลัง เขาอ่านเกม..ถอยออกมาเพื่อรับบอล "คัตแบค" ทางเดียวที่ มาร์ติเนลลีทำได้
ทรอสซาร์ จับแล้วยิงเร็ว มีโชค..บอลแฉลบเท้า ปาเรเดส เข้า บิลเบาท้วงผู้ตัดสินจะเอาฟาวล์ จังหวะริมสนามก่อนถึง ไรส์ ผมว่าเบาไปหน่อย....ถ้าผู้ตัดสินให้...นี่บ้าจี้มากๆ
ชัยชนะ 2-0 ได้จากสองตัวสำรอง....ต่างส่งให้กันและกัน แต่คงต้องโยนเครดิตให้ อาร์เตต้า ที่เปลี่ยนตัวได้ดี นั่นเป็นเพราะ ศักยภาพแนวลึกเพียงพอแล้ว ในสนามตัน หรือตื้อ มีตัวลงไปพลิกเกมแทนได้
อาร์เตต้า ถึงกับออกปากกับนักข่าวว่าเหมือน รักบี ตัวจบ...บางครั้งสำคัญกว่าตัวจริง
นักเตะใหม่ใช้ได้
มอสเกรา, มาดูเอก้, ซูบี เริ่มกลมกลืน ใครจะเชื่อว่าเซนเตอร์ £13 ล้าน จะปรับตัวได้เร็ว เล่นบอลง่ายๆ แข็งแรง, มาร์คกิ้ง ชิด ที่สำคัญออกบอลได้เปรียบ
มาดูเอเก้ ยืนพื้นทางขวาแทน ซาก้า ไปก่อน ทำหน้าที่ใช้ได้ครับ เหลือแต่การครอสเข้าเขตโทษ ถ้าแม่นๆ ก็จะอันตรายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ซูบิเมนดี ก็ตามหน้าที่ของเขา ตัดเกม คุมจังหวะ, คุมพื้นที่ ดึงช้า, เร็ว เล่นบอลง่ายๆ ถือว่าเป็นอีกคนที่เล่นมาสี่ห้านัด...สอบผ่าน
เหลือแค่ เอเซ่ นี่แหละที่ยังไม่ถึงขีดความเก่งของเขา อาจจะมาร่วมทีมหลังเปิดซีซั่น ร่างกายได้อยู่ก็จริง แต่การซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมยังไม่กี่เซสชั่น รอสักแพร้บ...คงไม่นานน่าจะเข้าที่เข้าทาง
ส่วน วิคเตอร์ โยเคเรส เกมนี้สังเวยเลือด การร่วมเล่นกับทีมถือว่าพอใช้ได้ ขาดแค่สกอร์...ทั้งที่มีโอกาสโหม่งจะจะ สองครั้ง
อย่างไรก็ตาม....นี่พึ่งเริ่มต้น มีอะไรให้เจออีกเยอะ...โดยเฉพาะ "บิ๊กเกม" พวกเขาพึ่งพลาดท่าต่อหงส์แดงสองวีคก่อน... ทุกอย่างตามแผนการณ์ แต่เอาชนะไม่ได้ แย่กว่านั้นคือ "แพ้" จากลูกฟรีคิก อาจเสียความมั่นใจไปบ้าง..แต่ยังมีเวลาให้แก้ตัว
ผมยังมองว่า "ศักยภาพ" แนวลึก และระบบที่ดีอยู่แล้ว น่าจะเอื้อให้ทีมลุ้นไปยาวๆ ทั้งในลีกและยุโรป
นั่นแหละที่เราจะได้เห็นในอีก 6-7 เดือนข้างหน้า ว่าเมื่อถึงบททดสอบ "จิตวิญญาณแห่งชัยชนะ" หรือ winning mentality แล้ว เดอะ กันเนอร์ส จะก้าวข้ามพรมแดนจาก “รองแชมป์” ไปฝั่ง "แชมป์" ได้หรือไม่
JACKIE