ฟีร์มิโน่-ซาลาห์ ฆ่าไม่ตาย, หงส์ฮึกเหิมจัดก่อนฟัดเรือใบ! 5 ประเด็น ลิเวอร์พูล บุกย้ำแค้น เรนเจอร์ส

เหมือนจะเป็นเกมยาก แต่เอาเข้าจริง ลิเวอร์พูล ก็บุกไปเพิ่มแค้นให้กับ เรนเจอร์ส ได้สำเร็จในการฟาดแข้งถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สนาม ไอบร็อกซ์ เมื่อวันพุธที่ 12 ต.ค.

จากสกอร์ที่ชนะแบบมโหฬาร 7-1 ซึ่ง หงส์แดง เสียประตูก่อนอีกเกมจนได้ น่าจะทำให้พวกเขาเพิ่มพูนความมั่นใจมากขึ้นเป็นกองก่อนต้องลงเล่นเกมสำคัญรับการมาเยือนของ แมนฯ ซิตี้ ในศึก พรีเมียร์ลีก วันอาทิตย์นี้

1.ซาลาห์ ถูกดร็อปจนได้

และแล้ว โม ซาลาห์ กองหน้าทีมชาติ อียิปต์ ก็มีชื่อเป็นแค่ตัวสำรองในเกมบุกมาเยือน เรนเจอร์ส หลังจากฟอร์มตกอย่างรุนแรงในซีซั่นนี้

ไม่เพียงเท่านั้น ติอาโก้ จอมทัพสแปนิชก็ต้องนั่งอยู่ในซุ้มเช่นกันเพื่อเปิดทางให้ ฟาบินโญ่ กองกลางตัวรับลงไปประสานงานกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน

กระนั้นก็ดี มีความเป็นไปได้ว่า เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังไว้เนื้อเชื่อใจ คิง ออฟ อียิปต์ และเลือกพักเขาเพื่อเก็บความสดเอาไว้เป็นตัวทีเด็ดในเกม พรีเมียร์ลีก นัดต้อนรับการมาเยือนของ แมนฯ ซิตี้ เช่นเดียวกับ ติอาโก้ ก็เป็นได้

รวมแล้ว หงส์แดง ซึ่งถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างไม่หยุดหย่อนปรับทัพหกรายจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดบุกไปแพ้ อาร์เซน่อล 3-2 

2.ระบบ 4-4-2 หรือ 4-3-3?

หลังการเผยรายชื่อ 11 ขุนพล หงส์แดง สื่อสำนักต่างๆของอังกฤษต่างพากันคาดเดาระบบการเล่นของ คล็อปป์ ไม่ออกว่าจะมาไม้ไหน

นับตั้งแต่เกม พรีเมียร์ลีก แมตช์เสมอกับ ไบรท์ตัน 3-3 ที่ แอนฟิลด์ กุนซือชาวเมืองไส้กรอกหันมาวางระบบใหม่ 4-4-2 ให้ลูกทีมลงเล่นสองเกมติดต่อกันทั้งเกมชนะ เรนเจอร์ส 2-0 ในถ้วย แชมเปี้ยน์ลีก และเกมที่บุกไปพ่าย อาร์เซน่อล 3-2 ใน พรีเมียร์ลีก

อย่างไรก็ดี เดอะ ซัน มองว่า คล็อปป์ น่าจะส่งทีมลงบู๊ในระบบ  4-2-3-1 มากกว่าโดย ดาร์วิน นูนเญซ ได้รับบทหอกเดี่ยวที่มี ฟาบิโอ คาร์วัลโญ่ , โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง

ขณะเดียวกัน บีบีซี  ชี้ว่า คล็อปป์ ยังคงใช้หมาก 4-4-2 โดยมี นูนเญซ กับ ฟีร์มิโน่ เป็นคู่กองหน้า ส่วน เอลเลียตต์ กับ คาร์วิลโญ่ ลงเล่นเป็นปีกขวาและปีกซ้ายตามลำดับ

ต่อประเด็นที่ว่านี้ เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ ยูฟ่า ระบุเอาไว้ในแผนผังว่า ลิเวอร์พูล กลับมาใช้สไตล์ถนัด 4-3-3 โดยสามตัวรุกประกอบไปด้วย ฟีร์มิโน่ ที่รับบทปีกขวา ขณะที่ คาร์วัลโญ่ อยู่ทางซ้ายคอยขนาบข้าง นูนเญซ ที่อยู่ตรงกลาง

3.ไม่โดนยิงก่อนไม่ใช่ หงส์แดง

แต่จากความเป็นจริงในสนาม หงส์แดง ยังเล่นในระบบ 4-4-2 เช่นเดิมโดยมี ฟีร์มิโน่ กับ นูนเญซ เป็นคู่กองหน้า แต่ไม่วายเสียประตูให้กับฝ่ายตรงข้ามก่อนอีกนัด แถมเป็นประตูแรกที่ เรนเจอร์ส ยิงได้ในรอบแบ่งกลุ่มของถ้วยใบนี้อีกด้วย

อย่างไรก็ดี ฟีร์มิโน่ กลับมาสอยตาข่ายได้อย่างต่อเนื่องอีกหนในซีซั่นนี้โดยดาวยิงแซมบ้ากระทุ้งเป็นประตูที่สี่ของเขาจากสี่เกมหลังพาทีมตีเสมอเป็น 1-1 ในครึ่งแรก

แต่ก็นั่นแหละ เป็นที่น่าสังเกตว่าระยะหลัง หงส์แดง ไม่ได้มีโอกาสสับไกมากกว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนก่อนอีกแล้ว แม้จะยังครองบอลได้เหนือกว่าก็ตามโดยเกมที่บุกไปแพ้ เดอะ กันเนอร์ส ทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์ได้ง้างยิง และส่งบอลเข้ากรอบน้อยกว่าเจ้าถิ่นตลอดการดวลกัน 90 นาที

มีการตีแผ่ตัวเลขหลังจบ 45 นาทีแรกที่ ไอบร็อกซ์ ออกมาว่าทีมจากเมืองผู้ดีมีเปอร์เซนต์ครองบอลเหนือกว่าก็จริง  (54:46%) แต่ได้ส่องยิงน้อยกว่า เรนเจอร์ส  (6:3) และส่งบอลเข้ากรอบแค่หนเดียวจากลูกโขกของ ฟีร์มิโน่ ขณะที่ เดอะ ไลท์บลูส์ ส่งบอลเข้ากรอบได้สองหน

4.ครึ่งหลัง เรนเจอร์ส ต้านไม่ไหว

กลับเข้าครึ่งหลัง เห็นได้ชัดตั้งแต่แรกว่า เรนเจอร์ส ระส่ำระสายหนัก และในที่สุดก็มาโดนพิษสงของ ฟีร์มิโน่ เจ้าเก่าเล่นงานในช่วงสิบนาทีแรกที่พา เร้ด แมชีน แซงนำได้สำเร็จโดยเป็นประตูที่แปดของเขาในซีซั่นนี้

จากนั้นก็เป็นโควต้าของ นูนเญซ ที่ได้ลูกจ่ายจาก ฟีร์มิโน่ คู่ขาซัดเม็ดสามให้ ลิเวอร์พูล ได้อุ่นใจก่อนที่ทีมเยือนจะปล่อยทั้ง ซาลาห์ และ ติอาโก้ ลงบู๊เป็นการยืดเส้นยืดสายก่อนต้อนรับ เรือใบสีฟ้า อย่างไม่ต้องสงสัย

เท่านั้นไม่พอ คล็อปป์ ยังได้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน หายเจ็บลงเล่นเป็นตัวสำรองได้เช่นกัน และเชื่อได้เลยว่าแบ็คซ้ายทีมชาติ สกอตแลนด์ จะกลับมาเป็นตัวจริงในเกมบู๊กับแชมป์ พรีเมียร์ลีก สุดสัปดาห์นี้ ขณะที่ ฟีร์มิโน่ ได้ออกไปพักในช่วงยี่สิบนาทีสุดท้ายซึ่งไม่ต้องสงสัยเลยว่ากุนซือด๊อยทช์หวังให้เขาระเบิดผลงานในเกมบิ๊กแมตช์บู๊กับทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต่ออีกนัด

5.หกนาทีสามเม็ด

หลังเท้าบอดบ่อยครั้งในซีซั่นนี้ ในที่สุด ซาลาห์ ก็ยิงประตูให้กับตัวเองจนได้ในช่วงสิบห้านาทีสุดท้าย และมันเป็นประตูที่ 36 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เขาทำได้ในสีเสื้อของ เร้ด แมชีน

เท่านั้นไม่พอ สตาร์หัวยุ่งยังกดแฮททริคได้อีกต่างหาก รวมเป็นการพังประตูในรายการนี้ได้ 38 เม็ดซึ่งเป็นการทำสถิติยิงในรายการนี้ได้มากที่สุดสำหรับทีมจาก พรีเมียร์ลีก อีกด้วยโดยก่อนเกมนี้สถิติตกเป็นของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา (เชลซี) และ เซร์คิโอ อเกวโร่ (แมนฯ ซิตี้) ถือถือครองร่วมกันจากจำนวน 36 ประตู

ยิ่งไปกว่านั้น ซาลาห์ ยังสร้างสถิติทำแฮททริคในถ้วยหูใหญ่ได้เร็วที่สุดอีกด้วยทั้งๆที่ลงเล่นเป็นตัวสำรองโดยสามประตูที่เขาส่งบอลผ่าน อัลลัน แม็คเกรเกอร์ นายทวาร เรนเจอร์ส ได้กินเวลาห่างกันแค่ 6 นาที 12 วินาทีเท่านั้นอันเป็นการลบสถิติเดิมของ บาเฟติมบี้ โกมิส 8.45 นาทีในเกมระหว่าง ลียง กับ ดินาโม ซาเกร็บ เมื่อเดือนธ.ค.2011 (รวมเวลาทดเจ็บในครึ่งแรก 2.09 นาทีด้วย)




นอกจากนี้ ยังมีการระบุอีกว่า ซาลาห์ ได้อยู่ในสนามแค่ 22 นาที แต่ได้สัมผัสบอลเก้าครั้ง ผ่านบอลสามครั้ง ง้างยิงสี่ครั้ง และเป็นสามประตูซึ่งได้มาจากการแอสซิสต์ของ ดีโอโก้ โชต้า ทั้งหมดโดยเป็นครั้งแรกด้วยที่เกิดขึ้นในถ้วยใบนี้นับตั้งแต่เดือนมี.ค.2012 ซึ่ง ฟร็องค์ ริเบรี่ ผ่านบอลสามหนให้ มาริโอ โกเมซ ซัดสามเม็ดในเกมระหว่าง บาเยิร์น กับ บาเซิ่ล

ขณะเดียวกัน แม้หลังจบเกมในครึ่งแรก ลิเวอร์พูล จะมีสถิติที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ แต่เมื่อครบ 90 นาที พวกเขาพลิกมามีโอกาสซัดประตูรวมทั้งสิ้น 20  ครั้ง และเข้ากรอบ 9 ครั้ง ขณะที่ เรนเจอร์ส ได้ง้างรวม 7 ครั้ง เข้ากรอบ 2 ครั้ง และมีเปอร์เซนต์การครองบอลเป็นรองทีมเยือน 57:43%


ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport