ในโลกปัจจุบัน นาโปลี ประกาศไปแล้วว่าพวกเขาจะได้ เควิน เดอ บรอยน์ มิดฟิลด์คนดังมาร่วมทัพแบบไร้ค่าตัว โดยตอนนี้เหลือเพียงรอให้สัญญาของ เดอ บรอยน์ กับทาง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หมดลงอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 มิถุนายนนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้นั้น เดอ บรอยน์ เป็นนักเตะที่เนื้อหอมมากๆ เพราะถึงแม้เขาจะมีอายุ 33 ปีแล้ว แต่หลายคนก็เชื่อว่าเขายังเล่นในระดับสูงได้ ซึ่งล่าสุด แซม ลี นักข่าวจาก ดิ แอธเลติก สื่อกีฬาชื่อดังก็ออกมาบอกเล่าถึงช่วงเวลาที่ เดอ บรอยน์ ยังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงกับอนาคตของตัวเองดี
ตามคำกล่าวอ้างของ ลี นั้น เดอ บรอยน์ ใช้เวลาอยู่ราว 1 เดือนด้วยกัน ในการประเมินเส้นทางที่เหมาะสมของตัวเอง ซึ่งที่น่าสนใจก็คือหนึ่งในนั้นคือความเป็นไปได้ในการย้ายไปซบตัก ลิเวอร์พูล คู่แข่งร่วมลีกของ แมนซิตี้
หากยังจำกันได้ มีช่วงหนึ่งที่เกิดกระแสข่าวลือว่า ลิเวอร์พูล ลงมาร่วมวงล่าลายเซ็นของ เดอ บรอยน์ ด้วย ซึ่งดาวเตะชาวเบลเยียมเองก็เคยเปิดใจอย่างตรงไปตรงมาว่าเป็นแฟนบอล "หงส์แดง" เช่นกัน
ทั้งนี้ ลี อ้างว่าเรื่องราวระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เดอ บรอยน์ มันไม่ใช่เพียงแค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง โดยทั้ง 2 ฝ่ายถึงขั้นมีการเจรจากันด้วยซ้ำ และเดิมที เดอ บรอยน์ กับครอบครัวของเขาก็หวังที่จะอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอังกฤษต่อไป แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรมากไปกว่านั้น โดยตอนนั้น ลิเวอร์พูล ให้ความสำคัญกับการล่าตัว ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ มากที่สุด
สำหรับกรณีของทีมอื่นนั้น ลี บอกว่ามีทาง ยูเวนตุส ที่ติดต่อไปคุยกับ เดอ บรอยน์ แต่ทาง "เบียงโคเนรี่" จำเป็นต้องปล่อยนักเตะบางคนออกไปให้ได้ก่อนเพื่อที่จะประเคนค่าเหนื่อยก้อนโตให้กับ เดอ บรอยน์ ได้ ซึ่งสุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ
กาลาตาซาราย ก็เป็นอีกทีมที่ให้ความสนใจในตัว เดอ บรอยน์ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรจริงจังมากกว่านั้น ส่วนการไปเล่นให้ทีมใน ซาอุดี อาระเบีย นั้น นักข่าวจาก ดิ แอธเลติก อ้างว่า เดอ บรอยน์ ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองยังเล่นในเกมระดับสูงได้ และมันก็ไม่เคยมีทีมจากชาติเศรษฐีน้ำมันที่ยื่นข้อเสนอให้เขาอย่างเป็นทางการ แม้ว่ามันจะเคยมีข่าวลือบ่อยๆ ก็ตาม
ท้ายที่สุดแล้วการที่ นาโปลี ได้สิทธิ์เล่น ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฤดูกาล 2025-26 และการได้ร่วมงานกับกุนซือระดับ อันโตนิโอ คอนเต้ ก็กลายเป็นปัจจัยสำคัญลำดับต้นๆ ที่ทำให้ เดอ บรอยน์ เลือกซบ นาโปลี ซึ่งก็ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้ว เดอ บรอยน์ จะพิสูจน์ให้เห็นได้หรือไม่ว่าเขายังเจ๋งเหมือนกับที่ผ่านมาอยู่