ผืนดิน ผืนน้ำ ผืนฟ้า (อีกครั้ง)

ผืนดิน ผืนน้ำ ผืนฟ้า (อีกครั้ง)
นาโปลีเริ่มลืมตาอ้าปากท้าทายความสำเร็จอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในยุคทศวรรษ 1980

ก่อนหน้านั้นทีมปาร์เตโนเปเคยมีแชมป์ให้ประจักษ์อยู่บ้าง ฤดูกาลประวัติศาสตร์ 1961/62 คว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย ทั้งที่ยังเล่นอยู่ในระดับเซเรีย บี กลายเป็นทีมแรกที่ทำได้

มันตามมาด้วยแชมป์รายการเดียวกันอีกหนในปี 1976 ที่เข่น เวโรน่า ที่กรุงโรม..

เพียงเท่านั้นเองสำหรับเกียรติประวัติด้านโทรฟี่แชมป์ของนาโปลีที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวกันของ 2 ทีมประจำเมืองเนเปิลส์ (Naples football & Cricket club กับ Internazionale Napoli) และเริ่มใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Associazione Calcio Napoli หรือ AC Napoli เมื่อปี 1926

มันก็นานเอาเรื่องอยู่เหมือนกันกว่าการเข้ามาของ ดีเอโก้ มาราโดน่า เมื่อปี 1984 จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

จากที่ไปไกลที่สุดแค่ตำแหน่งรองแชมป์เซเรีย อา 2 สมัยเมื่อฤดูกาล 1967/68 กับ 1974/75 และอันดับสามอีก 5 ครั้งในฤดูกาล 1933/34, 1965/66, 1970/71, 1973/74 และ 1980/81 ทีมอัซซูร่าด้วยการนำของ "เสือเตี้ย" เมื่อสุกงอมแล้วไล่กวาดความสำเร็จอิ่มเอม

ในเวลาแค่ 4 ฤดูกาลตั้งแต่ 1986/87 ถึง 1989/90 นาโปลีได้แชมป์เซเรีย อา 2 สมัย แชมป์ยูฟ่า คัพ 1 ครั้ง และแชมป์โคปปา อิตาเลีย อีก 1 ครั้งในซีซั่นดับเบิลแชมป์ 1986/87

ขับเคี่ยวเบียดแย่งความยิ่งใหญ่กับมหาอำนาจจากแดนเหนืออย่างถึงพริกถึงขิงและตาต่อตาฟันต่อฟัน เป็นตัวแทนที่น่าภาคภูมิใจของคนทางใต้

เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ฟุตบอลอิตาลีเริ่มแพร่หลายเป็นที่รู้จัก ลีกลูกหนังเมืองรองเท้าบู๊ตเติบโตแบบก้าวกระโดด เม็ดเงินสะพัดทุ่มทุนแข่งกันดึงนักเตะระดับโลกไปอวดฝีเท้า

ช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1980 ที่สโมสรจากอังกฤษถูกแบนห้ามแข่งฟุตบอลสโมสรยุโรป 5 ปี ลากยาวไปตลอดทศวรรษ 1990 คือช่วงที่ฟุตบอลอิตาลีรุ่งโรจน์เต็มที่ เข้าชิงยูโรเปี้ยน คัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แทบทุกปี

นับตั้งแต่ปี 1989 ที่ตัวแทนจากอิตาลีเข้าชิงถ้วยยุโรปทั้ง 3 รายการ (เอซี มิลาน แชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ, นาโปลี แชมป์ยูฟ่า คัพ, ซามพ์โดเรีย รองแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ) ก็ไม่มีปีไหนเลยที่นัดชิงถ้วยยุโรปจะไร้ตัวแทนจากอิตาลี

ยูฟ่า คัพ แทบจะเป็นการจับจองของลีกมะกะโรนี เอาแค่ที่เข้าชิงกันเองก็ 4 หนเข้าไปแล้วเฉพาะช่วงเวลา 10 ปีในยุคไนน์ตี้ส์ ส่วนถ้วยใหญ่ยูโรเปี้ยน คัพ/แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็มีแค่ปี 1991 กับ 1999 เท่านั้นที่ไม่มีทีมจากอิตาลีในนัดชิง

หลายคนยังคิดถึงฟุตบอลอิตาลีช่วงนั้น มันมีอิทธิพลต่อพวกเขาไม่น้อย

ผมเองก็เช่นกัน เพียงแต่เมื่อผลัดจากยุคเอจตี้ส์เข้าสู่ยุคไนน์ตี้ส์ มันกลับเป็นช่วงที่กองเชียร์นาโปลีอย่างผมต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว แชมป์เซเรีย อา 1989/90 กลายเป็นจุดสูงสุดก่อนที่ทีมจะดำดิ่ง ได้แต่มองดู เอซี มิลาน กับ ยูเวนตุส ผลัดกันประกาศศักดาทั้งในประเทศและออกไปเขย่ายุโรป

กลางฤดูกาลป้องกันแชมป์ 1990/91 มาราโดน่าถูกตรวจพบว่าใช้โคเคนโดนแบนยาว ระยะเวลา 15 เดือนจะว่านานก็นาน ไม่นานก็ไม่นาน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือพระเจ้าของชาวเนเปิลส์ไม่ได้กลับมาเล่นในเซเรีย อา อีกเลย

นักเตะตัวหลักในยุคทองก็ทยอยกันจากไป อันเดรีย คาร์เนวาเล่ ไป โรม่า, ลูก้า ฟูซี่ ไป โตริโน่, จูเลียโน่ จูเลียนี่ ไป อูดิเนเซ่, มาร์โก บารอนี่ ไป โบโลญญ่า, อเลสซานโดร เรนิก้า ไป เวโรน่า, อเลเมา ไป อตาลันต้า, แฟร์นานโด เด นาโปลี ไป เอซี มิลาน, มัสซิโม่ คริปปา กับ จานฟรังโก้ โซล่า ไป ปาร์ม่า, ชิโร่ แฟร์ราร่า ไป ยูเวนตุส, กาเรก้า ไปเจลีก

ในเวลาแค่ 4 ปีขุนพลชุดแชมป์ลีกสมัยที่ 2 ของ อัลแบร์โต้ บิกอน เมื่อปี 1990 ก็แทบไม่เหลือใครอยู่ในทีม

ฤดูกาล 1997/98 นาโปลีชนะแค่ 2 เกมเท่านั้นตลอดซีซั่น ตกชั้นสู่เซเรีย บี อย่างน่าเศร้า แม้จะเลื่อนชั้นกลับขึ้นมาได้ทันทีแต่ก็ถูกถีบร่วงลงไปอีกหนในแทบจะทันใดเหมือนกัน

ปี 2000 สโมสรประกาศยกเลิกเสื้อหมายเลข 10 เพื่อเป็นเกียรติแก่มาราโดน่า

และอีกเพียง 4 ปีให้หลัง.. สิงหาคม 2004 นาโปลีก็ล้มละลายจากความล้มเหลวด้านการเงิน..

-------------------------

กว่าจะมาถึงวันนี้ นาโปลีต้องผ่านการต่อสู้อย่างดิ้นรน การเข้ามาของ ออเรลิโอ เด เลาเรนติส ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ชาวโรมแท้ ๆ แต่เชียร์นาโปลีตั้งแต่เด็กคือจุดเปลี่ยนสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์สโมสร

ทีมค่อย ๆ ดีขึ้น ยืนหยัดบนแข้งขาตัวเองอย่างแข็งแรงขึ้น ได้แชมป์เซเรีย ซี ฤดูกาล 2005/06 ต่อด้วยรองแชมป์เซเรีย บี ฤดูกาลต่อมาทันที เลื่อนชั้น 2 ปีซ้อนคืนสถานะตัวเองสู่เซเรีย อา และจากนั้นก็ยังไม่เคยตกชั้นอีกเลย

แฟนบอลมองเห็นการพัฒนาที่มั่นคง นักเตะดี ๆ มากมายเข้ามาสวมชุดสีฟ้า ทีมเริ่มจบอันดับด้วยเลขตัวเดียว ได้ลุ้นพื้นที่ยุโรปทั้งถ้วยเล็กและถ้วยใหญ่ บางปีขึ้นไปถึงการลุ้นสคูเด๊ตโต้

ไม่ตกอยู่ในสถานะหนีตกชั้นทุก ๆ ปีอีกแล้ว

นาโปลีในยุคท่านประธาน เด เลาเรนติส มีผลงานเด่น ๆ ด้วยกุนซือ 3 คนที่เข้ามาทำงานสืบทอดกันไปพอดี

คนแรก วอลเตอร์ มาซซาร์รี่ คุมทีมระหว่างปี 2009-2013 พาอัซซูร่าจบอันดับ 3 ไปแชมเปี้ยนส์ ลีก (2010/11) โค่นยูเวนตุสคว้าแชมป์โคปปา อิตาเลีย (2011/12) และทิ้งทวนด้วยตำแหน่งรองแชมป์เซเรีย อาฤดูกาล 2012/13

78 คะแนนที่มาซซาร์รี่พานาโปลีเก็บได้ในฤดูกาลนั้นคือผลงานที่ดีสุดของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1990 ที่เป็นแชมป์ลีก เอดินสัน คาวานี่ ยิง 29 ประตูในลีก 38 ประตูในทุกรายการ คว้าดาวซัลโวเซเรีย อาก่อนย้ายไป ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ด้วยค่าตัว 64 ล้านยูโร

คนที่ 2 ราฟาเอล เบนิเตซ (2013-2015) คุมทีมแค่ 2 ปีแต่มีแชมป์โคปปา อิตาเลีย อีกสมัย คาวานี่ (104 ประตูจาก 138 เกม) ไม่อยู่แล้วแต่ได้ กอนซาโล่ อิกวาอิน เข้ามาแทน รัวประตูเป็นปืนกลไม่แพ้กัน 146 เกมยิงไป 91 ประตู

ราฟาพาทีมจบอันดับ 3 ในลีก ทำแต้มได้ 78 เท่ากับซีซั่น 2012/13 ที่เป็นรองแชมป์ ก่อนจะย้ายไปคุม เรอัล มาดริด

แต่คนที่พานาโปลีก้าวขึ้นไปอีกระดับจริง ๆ คือคนที่ 3.. เมาริซิโอ ซาร์รี่ (คุมทีม 2015-2018) ชาวเนเปิลส์โดยกำเนิด

กองเชียร์นาโปลีล้วนเข้าใจดีว่าในยุคซาร์รี่นั้นพวกเขาสนุกกันแค่ไหน ถึงวันนี้ความตื่นเต้นและภาคภูมิใจในการเชียร์ทีมอัซซูร่ายุคนั้นยังไหลวนในร่างกายอยู่เลย

จาก 78 คะแนนที่ถือเป็นผลงานดีที่สุดแล้ว.. ซาร์รี่กระชากให้นาโปลีไปได้ไกลกว่านั้นอีก และมันไกลกว่ากันมากอย่างที่ไม่ต้องเหลียวมองหลัง

สามฤดูกาลของซาร์รี่ นาโปลีเก็บได้ 82 คะแนน 86 คะแนน และ 91 คะแนน ไล่เรียงกันไปตามลำดับ

อิกวาอินย้ายไปยูเวนตุส ตัวแทนอย่าง อาร์คาดิอุสซ์ มิลิค เจ็บยาว ซาร์รี่กลับเจอการค้นพบแห่งทศวรรษโดยบังเอิญ ขยับ ดรีส เมอร์เทนส์ จากปีกไปยืนเป็นกองหน้าแบบ False Nine ผลลัพธ์คือ 34 ประตูในทุกรายการของดาวเตะชาวเบลเยียม..

เมอร์เทนส์-ลอเรนโซ่ อินซินเญ่-โฆเซ่ กาเยฆอน-มาเร็ก ฮัมซิก.. ชาวนาโปเลตาโน่หลงรักฟุตบอลของพวกเขาเข้าเต็มเปา

ฮัมซิกกัปตันทีมทำลายสถิติยิงประตูสุงสุดของมาราโดน่า 114 ประตูเมื่อเดือน ธ.ค. 2017 เมอร์เทนส์สนุกกับการถล่มประตูไม่หยุด อินซินเญ่เด็กท้องถิ่นก็เป็นความภูมิใจของแฟนบอล เติบโตขึ้นมาจากทีมเยาวชน ก้าวขึ้นสู่ชุดใหญ่ เป็นตัวหลัก เป็นหัวใจ เป็นผู้นำ และเป็นสัญลักษณ์ของทีม

มันคือยุคที่ทุกอย่างลงตัวไปหมดทั้งความรัก ความศรัทธา และผลงานในสนาม

ซาร์รี่พานาโปลีได้แชมป์ครึ่งฤดูกาลแรก 2 หน โดยสถิติแล้ว 9 จาก 10 ทีมจะก้าวต่อไปเป็นแชมป์..

82 คะแนน 86 คะแนน และ 91 คะแนน โดยสถิติอีกเช่นกัน มันเพียงพอที่จะได้แชมป์เซเรีย อา ในหลายฤดูกาล..

เพียงแต่ไม่ใช่กับยุคที่คุณต้องแข่งกับทีมอย่างยูเวนตุสที่กำลังเรืองอำนาจครองแชมป์เซเรีย อา 9 ปีติดต่อกัน

สคูเด๊ตโต้ที่ปรารถนาและรอคอยมานานจึงยังต้องรอกันต่อไป

ชีวิตหลังยุคซาร์รี่แม้ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ก็พอจะมีรอยยิ้มกันอยู่บ้าง คาร์โล อันเชลอตติ พาทีมได้รองแชมป์เซเรีย อาตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามารับช่วงต่อ เจนนาโร่ กัตตูโซ่ เสกแชมป์โคปปา อิตาเลีย สมัยที่ 6 ให้สโมสร ขณะที่สถิติยิงประตูสูงสุดให้สโมสรถูกทำลายอีกที 121 ประตูของ เมอร์เทนส์ เข้าไปแทนที่ 114 ประตูของฮัมซิก

แต่ในเรื่องความฝันกับตำแหน่งแชมป์เซเรีย อา เหมือนมันห่างไกลออกไปทุกที บางอารมณ์ชวนให้รู้สึกเหมือนต้องคำสาป พยายามแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ ทุ่มเทเพียงใดก็ไม่เคยเป็นจริง

จนบางครั้งอดสงสัยไม่ได้เลยว่าหรือวันเวลาเหล่านั้นจะไม่กลับมาอีกแล้ว

แต่ก็นั่นล่ะครับ ชีวิต.. เรื่องที่คิดว่าจะเกิดอาจไม่เกิด เรื่องที่ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็น มันอาจกลับเป็นขึ้นมา

การเข้ามาของ ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ หกเดือนหลัง ดีเอโก้ มาราโดน่า เสียชีวิต (25 พ.ย. 2020) และห้าเดือนหลัง สนาม ซาน เปาโล เปลี่ยนชื่อเป็น สตาดิโอ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า (ธ.ค. 2020) คือก้าวที่นำไปสู่การคลี่คลายทุกอย่าง

แชมป์กัลโช่ เซเรีย อา ที่ห่างหายไปถึง 33 ปี ได้กลับสู่แดนใต้อีกครั้ง คงไม่มีใครลืมงานฉลองครั้งใหญ่ที่เมืองนาโปลีถูกฉาบด้วยสีฟ้าอลังการเมื่อปี 2023 ได้ลง

แล้วนาโปลีก็ยังก้าวต่อ.. ฝากฝังกันมาถึง อันโตนิโอ คอนเต้

จากวันคืนยาวนานที่เหมือนความฝันจะไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว อยู่ ๆ เมืองนี้ก็ได้อ้าแขนโอบกอดมันติด ๆ กัน แชมป์เซเรีย อา สด ๆ ร้อน ๆ คือสคูเด๊ตโต้สมัยที่ 2 ในรอบ 3 ปี

ถ้ามาราโดน่ากำลังมองดูอยู่ตรงไหนสักแห่ง เขาอาจจะกอดอกแล้วบ่นยิ้ม ๆ กับงานฉลอง ความชุลมุน และเสียงหัวเราะที่อยู่ตรงหน้า "แหม.. ตอนกรูยังอยู่นี่ไม่เอาแชมป์กันเลยนะ"

หรือบางที ซาน เปาโล อาจจะรอวันที่ตัวเองเปลี่ยนชื่อเป็น สตาดิโอ ดีเอโก้ อาร์มันโด้ มาราโดน่า อยู่ก็ได้.. เพื่อที่จะเริ่มงานฉลองใหญ่กันอีกครั้ง

แน่นอนครับ ในงานฉลองของชาวนาโปเลตาโน่ ทุกคนรู้ดีว่ามันเกิดขึ้นในยุคคอนเต้ ที่สานต่อการปลดล็อกของสปัลเล็ตติ

จาก ควิชา ควารัตสเคเลีย, วิคเตอร์ โอซิเมน, ปีโอเตอร์ ซีลินสกี้, คิม มิน-แจ, มาริโอ รุย สู่ สกอตต์ แม็คทอมมิเนย์, โรเมลู ลูกากู, เดวิด เนเรส, บิลลี่ กิลมอร์, อเลสซานโดร บวนจอร์โน่, เลโอนาร์โด สปินาซโซล่า

หรือคนที่ยังอยู่กับทีมในงานฉลองเมื่อ 2 ปีก่อนก็ยังไม่ไปไหน.. โจวานนี่ ดิ ลอเรนโซ่, อามีร์ ราห์มานี่, อเล็กซ์ เมเร็ต, อ็องเดร-ฟร้องซ์ อองกีซ่า, สตานิสลาฟ โลบ็อตก้า, มัตเตโอ โปลิตาโน่, โจวานนี่ ซิเมโอเน่, จาโคโม่ ราสปาดอรี่

ท่ามกลางความสุขสีฟ้าที่กำลังอึกทึกวุ่นวายนั้น ยังคงมีธง มีป้ายผ้า มีเสื้อ มีผ้าพันคอ มีสิ่งต่าง ๆ ที่บอกว่าสโมสรนี้และเมือง ๆ นี้ยังคงมีคุณตลอดไป

เพียงแต่พวกเขาก้าวเดินต่อแล้ว

นาโปลีวันนี้.. ก้าวข้ามกำแพงสูงใหญ่ของชายผู้เป็นที่รักของผู้คนได้แล้ว และเขาคนนั้น - ดีเอโก้ มาราโดน่า - ก็คงจะยินดีที่สุดที่มันเป็นอย่างนั้น

ตังกุย



ที่มาของภาพ : reuters
BY : ตังกุย
ณัฐพล ดำรงโรจน์วัฒนา
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport