ตลาดซัมเมอร์ 2025 อาจเต็มไปด้วยดีลมูลค่ามหาศาล แต่ไม่ใช่ทุกการลงทุนจะได้ผลตอบแทนทันที ในขณะที่บางทีมยังรอผลงานจากแข้งป้ายแดง กลับมีนักเตะบางรายที่ก้าวเข้ามาแล้วสร้างอิมแพ็กต์ได้ทันตาเห็น พิสูจน์ว่าความคุ้มค่าไม่ได้อยู่ที่ค่าตัว แต่อยู่ที่ผลงานในสนาม และนี่คือ 7 การเซ็นสัญญาที่ “มาแล้วใช้ได้จริง” ของฤดูกาล 2025/26
อูโก้ เอกิติเก้ (ลิเวอร์พูล)
แม้ อาร์เน่อ สล็อต จะทุ่มงบเสริมทัพมหาศาลเกือบ 450 ล้านปอนด์ สร้างสถิติการใช้จ่ายสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก แต่ผลงานของนักเตะใหม่หลายราย ยังไม่เป็นไปตามความคาดหวัง โดยเฉพาะดีลใหญ่อย่าง อเล็กซานเดอร์ อิซัค และ ที่ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง
ทว่าในบรรดาผู้เล่นหน้าใหม่ทั้งหมด กลับกลายเป็น อูโก้ เอกิติเก้ หัวหอกชาวฝรั่งเศส ที่ย้ายมาจาก ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต ด้วยค่าตัว 69 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3,036 ล้านบาท) ที่ฉายแววได้โดดเด่นที่สุด ลงสนามในพรีเมียร์ลีกไปแล้ว 16 นัด ยิงได้ 8 ประตู และที่น่าจับตาคือ 4 ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วง 3 เกมหลังสุด สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เอกิติเก้ กำลังปรับตัวเข้ากับระบบของทีมได้อย่างลงตัว และเป็นหัวใจสำคัญของแนวรุก “หงส์แดง” ในฤดูกาลนี้
รายาน แชร์กี (แมนเชสเตอร์ ซิตี้)
รายาน แชร์กี มิดฟิลด์พรสวรรค์สูงวัย 22 ปี กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ถูกพูดถึงมากที่สุดของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หลังย้ายมาจาก ลียง ด้วยค่าตัวเพียงราว 30 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,500 ล้านบาท) แต่กลับสร้างอิมแพ็กต์เกินราคาอย่างชัดเจน ทั้งคุณภาพเชิงเทคนิค ความกล้าเล่น และจินตนาการในเกมรุก
ผลงานในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ยิงไปแล้ว 2 ประตู กับอีก 7 แอสซิสต์ เป็นรองเพียง บรูโน่ แฟร์นันด์ส ของแมนฯ ยูไนเต็ด เท่านั้น ขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ถึงกับออกปากยกย่องว่าเขาคือ “นักเตะระดับพิเศษ” พร้อมชี้ว่า แม้จะยังต้องเรียนรู้การเล่นให้เรียบง่ายมากขึ้น แต่ด้วยอายุและพรสวรรค์ที่เปล่งประกาย เเชร์กี กำลังค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นกำลังหลักคนสำคัญของ “เรือใบสีฟ้า” ในอนาคตอันใกล้
เอสเตเวา วิลเลี่ยน (เชลซี)
เอสเตเวา วิลเลี่ยน เปิดตัวกับ เชลซี ในฤดูกาล 2025/26 ได้อย่างน่าจับตามอง แม้ยังไม่ได้ยึดตัวจริงใน พรีเมียร์ลีก แบบถาวร แต่ทุกครั้งที่ได้รับโอกาส ดาวรุ่งวัย 18 ปีรายนี้ก็แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ระดับพิเศษ โดยเฉพาะในเวทียุโรปที่ยิงไปถึง 3 ประตูในแชมเปียนส์ลีก สร้างสถิติแข้งอายุน้อยสุดของสโมสร ทักษะการเลี้ยงบอลจัดจ้าน ความกล้าเล่น และการประสานงานกับ โคล พาลเมอร์ ทำให้เกมรุก “สิงห์บลูส์” มีมิติยิ่งขึ้น แม้ยังต้องพัฒนาเรื่องความสม่ำเสมอและสภาพร่างกาย แต่ภาพรวมถือว่า เอสเตเวา คือหนึ่งในวันเดอร์คิดที่เชลซีและแฟนบอลฝากความหวังได้อย่างเต็มที่
ไบรอัน เอ็มเบอโม่ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ไบรอัน เอ็มเบอโม่ กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ตอบโจทย์ที่สุดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทันที หลังย้ายมาจาก เบรนท์ฟอร์ด ด้วยค่าตัวราว 65 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,925 ล้านบาท) ในซีซั่นนี้ แนวรุกทีมชาติ แคเมอรูน ลงสนาม 17 นัด ยิง 7 ประตู สร้างอิมแพ็กต์ให้เกมรุก “ปีศาจแดง” อย่างชัดเจน ภายใต้การคุมทีมของ รูเบน อโมริม เขาไม่ได้เป็นแค่ปีก แต่ขยับบทบาทเป็นตัวรุกอิสระที่หาพื้นที่ในกรอบเขตโทษได้อันตราย ประตูสำคัญใส่ ลิเวอร์พูล และฟอร์มโดดอย่างเด่นต่อเนื่อง ทำให้ เอ็มเบอโม่ ถูกยกให้เป็นแข้งใหม่ ที่มาแล้วใช้ได้เลย และเป็นหนึ่งในดีลคุ้มค่าของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้
เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ (เอฟเวอร์ตัน)
การย้ายจาก เชลซี มาอยู่กับ เอฟเวอร์ตัน ของ เคียร์แนน ดิวส์บิวรี่-ฮอลล์ ด้วยค่าตัวราว 28 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1276 ล้านบาท) ถูกยกให้เป็นหนึ่งในดีลที่ “คุ้มค่าและตรงจุด” ที่สุดของฤดูกาล 2025/26 อย่างไม่ต้องสงสัย มิดฟิลด์วัย 27 ปี ลงสนามพรีเมียร์ลีก 16 นัด ยิง 4 ประตู 2 แอสซิสต์ กลายเป็นหัวใจหลักในแดนกลางของ เดวิด มอยส์ ชนิดที่ทีมขาดไม่ได้
โดมินิก คัลเวิร์ต-ลูวิน (ลีดส์ ยูไนเต็ด)
โดมินิก คัลเวิร์ต-ลูวิน กลายเป็นดีลสุดคุ้มของ ลีดส์ ยูไนเต็ด หลังย้ายมาร่วมทีมแบบไร้ค่าตัว และสร้างอิมแพ็กต์ให้กับทีมได้ทันที ด้วยผลงานลงสนาม 15 นัด ยิงไปแล้ว 7 ประตู เข้ามาช่วยยกระดับเกมรุกของลีดส์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้งการพักบอล ลูกกลางอากาศ และความอันตรายในกรอบเขตโทษ จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในการเซ็นสัญญาที่คุ้มค่าที่สุดของพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
กรานิต ชาก้า (ซันเดอร์แลนด์)
กรานิต ชาก้า มิดฟิลด์ประสบการณ์สูงทีมชาติ สวิตเซอร์แลนด์ กลายเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญของ ซันเดอร์แลนด์ แบบทันทีหลังย้ายมาจาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ (ประมาณ 780 ล้านบาท)
พร้อมได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนกัปตันทีม ใช้ความนิ่งและความเป็นผู้นำคุมจังหวะแดนกลางได้อย่างยอดเยี่ยม จนช่วยให้ “แมวดำ” น้องใหม่พรีเมียร์ลีก สร้างผลงานเกินความคาดหมาย รั้งอันดับ 7 ของตาราง มีแต้มตามหลังพื้นที่แชมเปียนส์ลีกเพียง 2 คะแนนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า ชาก้า คือหัวใจหลักที่พาซันเดอร์แลนด์ก้าวขึ้นมายืนหยัดบนลีกสูงสุดได้อย่างสง่างามในซีซั่นนี้