เปิดเส้นทางชีวิต อองตวน เซเมนโย่ ดาวยิง บอร์นมัธ ที่เคยถูกปฏิเสธจากหลายอะคาเดมี สู่ตัวรุกเนื้อหอมที่เล่นได้สองเท้าและเพรสซิ่งโหดที่สุดใน พรีเมียร์ลีก
"ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า?"
นั่นคือคำถามที่เด็กชายวัย 15 ปี เอ่ยถามพ่อของเขาในรถยนต์ที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้าน มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับคำตอบปฏิเสธ แต่มันคือครั้งที่เจ็บปวดที่สุด เพราะหลังจากทดสอบฝีเท้ากับ คริสตัล พาเลซ มายาวนานถึง 8 สัปดาห์ เขาคิดว่าเขากำลังจะได้เซ็นสัญญาอาชีพ แต่สุดท้ายคำตอบที่ได้รับกลับมาคือ "คุณยังดีไม่พอ"
สำหรับเด็กที่เคยโดนทั้ง อาร์เซนอล, สเปอร์ส และ มิลล์วอลล์ บอกปัดมาแล้ว การโดน พาเลซ ปฏิเสธคือฟางเส้นสุดท้าย อองตวน เซเมนโย่ ตัดสินใจทิ้งฟุตบอลไปดื้อ ๆ เขาหยุดเล่นเป็นปี ปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนน้ำหนักเกิน และจมอยู่กับความผิดหวัง
แต่ใครจะเชื่อว่า 10 ปีให้หลัง เด็กที่เคย "ถูกทิ้ง" คนนี้ จะกลายเป็นเป้าหมายที่ยักษ์ใหญ่ทั่วอังกฤษ พร้อมยอมทุ่มเงินเกิน 70 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวไปร่วมทีม เรื่องราวของเด็กที่ถูกหลายอะคาเดมีในอังกฤษปฏิเสธจะเป็นอย่างไร? ติดตามไปพร้อมกันที่นี่เลย
พรสวรรค์จาก "กระป๋อง"
หากเราจะหาจุดเริ่มต้นของความเก่งกาจในวันนี้ คงต้องย้อนไปที่ ลาร์รี่ พ่อของเขา อดีตนักเตะอาชีพชาวกาน่า ลาร์รี่ ไม่ได้สอนลูกชายในสนามหญ้าที่สวยงาม แต่เขาสอน อองตวน ให้เตะทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่ว่าจะเป็น กระดาษขยำหรือกระป๋องเปล่า และที่สำคัญคือต้องเตะได้ทั้งสองเท้า
“ตอนอายุ 6 ขวบ ผมใช้เท้าซ้ายได้เก่งเท่าเท้าขวาแล้ว เพราะพ่อเคี่ยวเข็ญให้ผมทำแบบนั้นจนมันกลายเป็นสัญชาตญาณ” เซเมนโย่ กล่าว ซึ่งความสามารถสองเท้านี้เองที่ทำให้กองหลัง พรีเมียร์ลีก หลายคนในปัจจุบันหัวหมุน เพราะไม่มีใครเดาได้เลยว่าเขาจะกระชากไปทางไหน
นอกจากแรงผลักดันจากครอบครัว "ศรัทธา" คืออีกหนึ่งเสาหลักของ เซเมนโย่ ถึงขนาดที่ว่าเขาเรียกตัวเองว่าเป็น “บุรุษของพระเจ้า” เขาอธิษฐานทั้งวันคืน และเชื่อมั่นว่าความล้มเหลวในวัยเด็กคือแผนการของเบื้องบนที่ต้องการให้เขาแกร่งขึ้น เขาไม่ได้เข้าอะคาเดมี่หรู ๆ แต่เขาต้องไปนับหนึ่งใหม่ในฟุตบอลระดับ Sunday League เล่นในสนามขี้โคลน เจอแข้งขาโหดรุ่นใหญ่ที่ใส่ไม่ยั้ง ซึ่งนั่นคือโรงเรียนดัดสันดานชั้นยอดที่หาไม่ได้ในอะคาเดมีฟุตบอลชั้นนำ
ปีนป่ายพีระมิดฟุตบอลอังกฤษ
เส้นทางของ เซเมนโย่ ไม่ได้พุ่งเป็นกราฟเส้นตรง เขาต้องไปเริ่มใหม่กับโปรแกรมฟุตบอลวิทยาลัยภายใต้การดูแลของ เดฟ ฮอกกะเดย์ (อดีตกุนซือ ลีดส์) ที่สวินดอน เขาต้องเรียนวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาควบคู่ไปกับการฝึกซ้อม และพิสูจน์ตัวเองจากการลงเล่นดวลกับทีมอะคาเดมี่ต่าง ๆ จนกระทั่งไปเตะตา บริสตอล ซิตี้
แต่การเซ็นสัญญาอาชีพเป็นเพียงจุดเริ่มต้น เขาถูกส่งไปออกรบในลีกล่างแทบทุกระดับนับตั้งแต่ บาธ ซิตี้ (ลีกระดับ 6), นิวพอร์ต เคาน์ตี้ (ลีกทู) และ ซันเดอร์แลนด์ (ลีกวัน) ทุกสถานีคือการสะสม "กระดูก" จนกระทั่งเขาได้พบกับ ไนเจล เพียร์สัน กุนซือจอมดุที่ บริสตอล ซิตี้ เพียร์สัน มองเห็นความดิบในตัวเขา และพูดกับเขาเพียงประโยคสั้น ๆ ว่า "นายวิ่งเร็ว ยิงแรง ก็แค่วิ่งไปยิงซะ!" คำสั่งที่ดูเหมือนง่ายนี้กลับปลดล็อกศักยภาพของ เซเมนโย ให้กลายเป็นอสูรกายตัวจริง จน บอร์นมัธ ต้องยอมจ่ายเงินคว้าตัวเขามาร่วมทีมในปี 2023
ภายใต้การคุมทีมของ อันโดนี อิราโอล่า เซเมนโย่ ไม่ได้เป็นแค่กองหน้าที่รอจบสกอร์ แต่เขาคือ "ฝันร้าย" ของฟลูแบ็กฝั่งตรงข้าม ด้วยรูปร่างที่กำยำ พละกำลังมหาศาล และความเร็วที่ฉีกคู่แข่งเป็นชิ้น ๆ เขากลายเป็นนักเตะที่เพรสซิ่งได้โหดที่สุดคนหนึ่งในลีก
ในฤดูกาล 2024/25 เซเมนโย่ ยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นด้วยสถิติ 13 ประตู 7 แอสซิสต์ (ในทุกรายการ) เขากลายเป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างได้ทุกวินาที ไม่ว่าจะกระชากตัดเข้าในไปยิงด้วยเท้าซ้าย หรือข้ามบอลไปสุดเส้นหลังเพื่อเปิดด้วยเท้าขวา
“เขา (เซเมนโย่) ไม่ได้มาจากอะคาเดมี่ใหญ่ ๆ และผมคิดว่าเขาต้องได้รับทุกอย่างมาจากการไต่เต้าขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าเขาเคยเล่นให้กับบาธหรือเล่นแบบยืมตัว และเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากเพื่อก้าวไปสู่ระดับต่อไป เพื่อคว้าโอกาสต่อไป และมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับเรา"
“ผมคิดว่าเขาพัฒนาขึ้นทุกฤดูกาล แต่เขาต้องพัฒนาต่อไป เขายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องปรับปรุง เขาต้องก้าวหน้าต่อไป เราเรียกร้องจากเขาอยู่บ่อยครั้ง” อิราโอล่า กล่าวถึงลูกทีมรายนี้
อนาคตที่สดใส และป้ายราคา 65 ล้านปอนด์
จากเด็กที่เคยนั่งร้องไห้อยู่เบาะหลังรถ วันนี้ อองตวน เซเมนโย่ มีชื่อพัวพันกับทีมอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดย บอร์นมัธ รู้ดีว่าพวกเขามีอัญมณีอยู่ในมือ และป้ายราคา 65 ล้านปอนด์ คือเครื่องยืนยันความเก่งกาจของเขา
เซเมนโย่ ยังคงเป็นคนเดิมที่ถ่อมตัวและรักครอบครัว เขายังคงอธิษฐานก่อนลงสนามทุกครั้ง และยังคงเล่นฟุตบอลด้วยความมุ่งมั่นเหมือนสมัยที่เตะกระป๋องอยู่ข้างถนน
“ผมแค่ต้องการพิสูจน์ว่าผมดีพอที่จะอยู่ที่นี่” เขาพูดประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวันนี้ โลกทั้งใบก็ได้เห็นแล้วว่า เขาไม่ได้แค่ดีพอแต่เขาคือหนึ่งในสิ่งที่ดีที่สุดที่ พรีเมียร์ลีก มีในเวลานี้