คำนิยามของ เจมี่ เร้ดแน็ปป์ ทางสกายสปอร์ตส์บอกสิ่งที่ลิเวอร์พูลเป็นในเกมนี้ชัดเจนที่สุด
"A masterclass on how not to manage the final 10 minutes" - ผลงานอันเป็นเลิศในหัวข้อการควบคุมอะไรไม่ได้เลยในช่วง 10 นาทีสุดท้าย
นั่นล่ะครับ ถ้าจะหาวิทยานิพนธ์ดี ๆ หรืองานวิจัยเด่น ๆ ในหัวข้อนี้ กลับไปเปิดเกมนี้ดูอีกครั้งในช่วงหลังจากที่ลิเวอร์พูลถูกยิงตีไข่แตก รับรองว่าบรรลุ
เพราะมันเป็นอย่างที่เร้ดแน็ปป์พูดเลย นี่คือตัวอย่างชั้นดีที่แสดงให้เห็นว่าการควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่และเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนั้นเป็นอย่างไร
เฉพาะเจาะจงลงไปอีกนิด มันไม่ใช่แค่ 10 นาทีหรอก แต่เป็น 17 นาทีครึ่งแห่งความอลหม่าน นับตั้งแต่ที่ลิเวอร์พูลเสียประตูตีตื้น 1-2 ให้สเปอร์สในนาทีที่ 83
7 นาทีที่เหลือในเวลาปกติ บวกกับอีก 10 นาทีครึ่งในช่วงทดเวลา..
จากที่ผ่านบอลไปมาแบบคุมเกมได้เบ็ดเสร็จ สกอร์นำห่าง 2-0 นักเตะไก่เดือยทองวิ่งไม่เจอบอล คุมสถานการณ์กุมความได้เปรียบทั้งสกอร์และตัวผู้เล่น ครอบครองบอลให้แน่นอน ปิดความเสี่ยงที่จะเสียประตู เคาะบอลใจเย็นรอจังหวะช่องเปิดให้พังประตูที่สาม
แต่พอเสียลูกเตะมุมที่เป็นของแสลง และเสียประตูจากลูกนั้นเข้าจริง ๆ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร
ทันทีที่ ริชาร์ลิซอน ตวัดยิงส่งบอลเสียบเสา บรรยากาศใน ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ สเตเดี้ยม พลุ่งพล่านขึ้นมาโดยฉับพลัน อุณหภูมิจากที่เย็นยะเยือกกลายเป็นเดือดระอุ
ทั้งสนามเปลี่ยนจากอารมณ์ทึม ๆ เป็นขุมนรก เสียงตะโกนเชียร์เร่งเร้าดุดันทำลายสติและโสตประสาท
ยังเหลืออีก 7 นาทีก่อนถึงช่วงทดเวลา
ลิเวอร์พูลพังพินาศเหมือนปราสาททรายที่ทลายลง คลำหาโมเมนตัมของตัวเองไม่เจออีกเลยนับจากนั้น
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ ฤดูกาลนี้แชมป์เก่ามีปัญหาด้านจิตใจหลังเสียประตูจริง ๆ คล้ายกับว่าพวกเขาไม่สามารถทนรับมันได้เลย ยิ่งพยายามไม่ให้เสียประตูมากเท่าไหร่ยิ่งกลายเป็นความกดดันมากขึ้นเท่านั้น บอลที่เคยง่ายกลายเป็นยาก เป็นช่องให้ความผิดพลาดเกิดขึ้น
แล้วพอทำนบพังเสียประตู สิ่งที่ตามมามักจะเป็นความโกลาหลขั้นสุด เล่นสะเปะสะปะตั้งหลักไม่ได้ ไม่ต้องสนด้วยซ้ำว่าตัวผู้เล่นจะเหลือมากกว่าไหม เพราะทีมหงส์แดงพร้อมจะลืมความได้เปรียบนั้นไปง่าย ๆ
สเปอร์ส 10 คนไล่กดใส่แชมป์เก่าอย่างไม่ฟังอีร้าค่าอีรม เป็นการสู้สุดตัวและเลือดเข้าตาที่น่าประทับใจจนยิดอาร์มี่หลายคนอดบ่นดัง ๆ ไม่ได้ว่าทำไมพวกคุณไม่เล่นแบบนี้ตั้งแต่แรก
ผ่าน 90 นาทีเต็มเข้าสู่ช่วงทดเวลา ตอนที่กราฟฟิกขึ้นมาบอกว่าเกมนี้ทดเวลา 9 นาที ภาพหายนะที่เอลแลนด์ โร้ด เมื่อสิบวันก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัว
ทดเวลาเท่ากันเลย.. มันเป็นเวลามากพอที่จะทำให้เกิดความรู้สึกแตกต่างระหว่างนักเตะในสนาม ฝ่ายหนึ่งมีแรงฮึดเฮือกใหญ่อีกครั้งที่จะไล่ตีเสมอ อีกฝ่ายหนึ่งแข้งขายิ่งหนักเพราะมันคืออีกตั้ง 9 นาทีที่ต้องยันพายุบุกให้ได้
ผลลัพธ์ในวันนั้นคือ ลีดส์ ยูไนเต็ด ไล่ตีเสมอ 3-3 จนได้ในนาที 90+6
กับเกมนี้ลิเวอร์พูลกำลังโงนเงนและเดินไปสู่หายนะนั้น คนมากกว่ากลายเป็นไม่มีความหมายอะไรเลย ถูกกดให้ตั้งรับพัลวันจนโงหัวไม่ขึ้น
กระทั่ง คริสเตียน โรเมโร่ ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำที่สุดด้วยการยกเท้าเตะแถม อิบราฮิมา โกนาเต้ จนโดนใบเหลืองที่สองไล่ออกจากสนาม สเปอร์สเหลือ 9 คน แต่โมเมนตัมก็ยังไม่เปลี่ยน
9 คนยังคงบุกใส่ 11 คนอย่างโหมกระหน่ำไม่ผิดไปจากตอนที่เหลือ 10 คน คล้ายลิเวอร์พูลตั้งใจมั่นไว้แล้วว่าจะตั้งการ์ดปัดป้องอย่างเดียว มันจึงดูเหมือนการหลับหูหลับตาตั้งรับด้วยความตื่นกลัว
ท้ายที่สุดแล้ว เกมนี้ก็กลายเป็นการเอาตัวรอด กำชัยกลับเมอร์ซี่ย์ไซด์ได้อย่างหวุดหวิด
มันไม่ใช่ภาพที่น่าจดจำอะไรหรอกครับ และจินตนาการได้เลยว่าถ้าพลาดโดนตอกประตู 2-2 ขึ้นมาจริง ๆ แฟนบอลจะโมโหมากขนาดไหน
อาร์เน่อเองก็ยอมรับอย่างนั้น เขาให้สัมภาษณ์กับนักข่าวหลังเกมว่า ทดเวลา 9 นาที บอลเป็นของสเปอร์สไปแล้ว 8 นาทีครึ่ง!
ฉายให้เห็นภาพชัดเจนพอ ๆ กับคำเปรียบเปรยของเจมี่ เร้ดแน็ปป์
เพียงแต่นาทีนี้ความละเอียดอ่อนมีมาก สภาพจิตใจของนักเตะลิเวอร์พูลไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ เมื่อผลการแข่งขันสำคัญกว่าเรื่องใด ๆ บวกกับฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าที่เจอมาในซีซั่นนี้ จากที่เคยกล้าจึงกลับเป็นไม่กล้าและหัวใจพังเอาได้ง่าย ๆ เมื่อเสียประตูอย่างที่เห็น
ฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลเคยนำ 2-0 แล้วถูกตีเสมอ 2-2 หลายเกม เกมชนะบอร์นมัธ เกมชนะนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เกมชนะแอตเลติโก มาดริด เกมเสมอลีดส์ ยูไนเต็ด..
มันเป็นภาพหลอนอยู่เหมือนกันซึ่งแน่นอนไม่มีใครต้องรับผิดชอบมากไปกว่าพวกเขา
หลายเกมกลับมาได้ก็จริง แต่มันเป็นรอยร้าวที่เกิดขึ้น บนความไม่มั่นใจในความแข็งแกร่งที่ตัวเองเคยมี
เมื่อประกอบกับการแพ้กราวรูดในช่วงที่เกมรุกทำไม่ได้เหมือนเคย แพ้ 9 จาก 12 เกมในทุกรายการ มันก็ยิ่งกังวล จะคิดอ่านอย่างไรก็ดูกล้า ๆ กลัว ๆ ไปหมด
แต่อย่างน้อยสามคะแนนก็อยู่ในมือ เป็นเรื่องดีที่สุดท่ามกลางเสียงหัวใจที่ยังเต้นโครมคราม
เดินหน้าต่อไป สู่ช่วงเวลาที่ทีมเริ่มแพ้ยากขึ้น นับไปนับมาจากวันที่เละเทะถึงขีดสุดโดน พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น บุกถล่มคาแอนฟิลด์ 1-4 การปรับวิธีเล่นและการตัดสินใจของอาร์เน่อได้ผลลัพธ์ที่ทีมไม่แพ้ใครอีกเลยมา 6 นัดติดต่อกันแล้ว
น่าปวดใจบ้างกับการเสมอซันเดอร์แลนด์ในบ้านตัวเองและถูก ลีดส์ ยูไนเต็ด ยิงแบ่งแต้ม 3-3 ช่วงทดเวลาที่เอลแลนด์ โร้ด แต่ชัยชนะเหนือ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ลอนดอน สเตเดี้ยม เหนืออินเตอร์ มิลาน ที่จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า และเหนือไบรท์ตัน ที่แอนฟิลด์ ล้วนเป็นการชนะแบบไม่เสียประตูทั้งสิ้น
กับเกมลงใต้ครั้งล่าสุดที่ชนะสเปอร์ส ไม่ใช่สามแต้มที่น่าประทับใจหรอก ไม่ใช่ชัยชนะบนเกมที่สมบูรณ์แบบแน่ ๆ แต่มันก็ยังเป็นชัยชนะในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่ง
เล่นแล้วไม่แพ้ จากเกมแรก สู่เกมที่สอง สาม สี่..
ลิเวอร์พูลก้าวเข้าสู่ช่วงบ๊อกซิ่งเดย์ด้วยความมั่นใจที่มากขึ้น ไม่แพ้ใครมา 6 เกมติดต่อกัน
แน่นอนสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมล่าสุดย่อมเป็นทำให้กังวล แต่เกมที่เตะไปแล้วเป็นอดีตไปแล้ว เรามองไปถึงเกมที่รออยู่ อาร์เน่อและทีมงานของเขายังต้องพยายามแก้ไขข้อบกพร่องทั้งหมดที่มีให้ได้
วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (เหย้า) วันเสาร์ที่ 27 ธ.ค.
ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า) คืนวันพฤหัสฯ ที่ 1 ม.ค.
และฟูแล่ม (เยือน) วันอาทิตย์ที่ 4 ม.ค.
3 เกมสำคัญก่อนภารกิจโหด.. ลงใต้ไปเยือน อาร์เซน่อล คืนวันพฤหัสฯ ที่ 8 ม.ค.
ความเชื่อมั่นและความพร้อมในวันนั้นจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับผลการแข่งขันใน 3 เกมที่รออยู่เหมือนกันล่ะครับ
#ตังกุย