ไรอัน กราเฟนแบร์ก เป็นหนึ่งในนักเตะทำผลงานได้ดีที่สุดของ อาร์เน่อ สล็อต ตลอดช่วง 18 เดือนที่ผ่านมา แต่หลายคนเชื่อว่าศักยภาพของ สตาร์วัย 23 ปี ยังไม่ได้ถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็ม
ทัพ "หงส์แดง" มีปัญหาหลายจุดที่จำเป็นต้องแก้ไขในเวลานี้ แต่ กราเฟนแบร์ก ไม่ใช่หนึ่งในนั้น นับตั้งแต่ที่ โค้ชอาร์เน่อ ปรับบทบาทเขาให้มาเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ นักเตะสามารถระเบิดฟอร์มเก่งออกมา พร้อมได้รับการโหวตให้คว้ารางวัลแข้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปี พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2024/25
นี่คือช่วงเวลาที่ กราเฟนแบร์ก กำลังก้าวสู่ความเป็นนักเตะชั้นนำบนเส้นทางลูกหนัง จากดาวรุ่งพรสวรรค์เกินวัยที่อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม สู่ตัวเลือกที่ถูกมองข้ามกับ บาเยิร์น มิวนิค ก่อนจะพัฒนาขึ้นมาเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดของยุโรปกับลิเวอร์พูล
อย่างไรก็ตาม ศักยภาพสูงสุดของ กราเฟนแบร์ก มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ถูกดึงออกมาใช้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะตัวเขาเอง แต่เป็นเพราะขุมกำลังในตำแหน่งเดียวกัน เนื่องจาก วาตารุ เอ็นโด ไม่ใช่นักเตะที่ กุนซือชาวดัตช์ เชื่อมั่นมากพอที่จะส่งลงเป็นตัวจริง
ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล มีความต้องการนักเตะในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับระดับท็อป ไม่ใช่เพื่อมาแทนที่ กราเฟนแบร์ก แต่เพื่อคอยสนับสนุนเขา และที่สำคัญคือช่วยให้นักเตะยกระดับการเล่นของตัวเองไปอีกขั้น
- นักเตะที่เก่งเกินกว่าจะถูกจำกัดบทบาท
จริงๆ แล้ว กราเฟนแบร์ก มีศักยภาพก้าวไปเป็นมิดฟิลด์ตัวรับระดับโลกได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณภาพและไหวพริบในการเล่นที่ช่วยให้เขาปรับตัวกับบทบาทดังกล่าวได้อย่างยอดเยี่ยม ทำให้หลายคนอาจลืมไปว่า นี่ไม่ใช่ตำแหน่งที่เป็นธรรมชาติที่สุดของเจ้าตัว
สิ่งที่ทำให้ กราเฟนแบร์ก กลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของอาแจ็กซ์ในรอบหลายปี และเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งบาเยิร์น มิวนิค รวมถึง เจอร์เกน คล็อปป์ ตัดสินใจคว้าตัวเขาไปร่วมทีม คือความสามารถของเขาในฐานะมิดฟิลด์บ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ ที่แข็งแกร่ง เคลื่อนที่ทั่วสนาม และทำได้แทบทุกอย่างจากแดนกลาง
กราเฟนแบร์ก เป็นนักเตะที่มีการยืนตำแหน่งยอดเยี่ยมและมีความแข็งแกร่งทางร่างกาย สามารถช่วยเกมรับได้ดี แต่ขณะเดียวกันก็มีพลังสร้างสรรค์เกม ที่สามารถเจาะแนวรับคู่แข่งด้วยการจ่ายบอลและความนิ่ง พร้อมสอดขึ้นไปในกรอบเขตโทษด้วยจังหวะการวิ่งที่แม่นยำ
ก่อนถึงฤดูกาลที่แล้ว กราเฟนแบร์ก ลงเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับเพียงแค่ 19 ครั้ง จากการลงสนามในทีมชุดใหญ่ทั้งหมด 172 นัดกับสามสโมสร ส่วนใหญ่เกิดขึ้นสมัยอยู่กับ อาแจ็กซ์ และแทบจะเป็นเกมที่พบกับทีมในครึ่งล่างของตาราง ซึ่งพวกเขาสามารถจัดทีมในเชิงรุกได้มากกว่า
ส่วนที่แอนฟิลด์ นักเตะยังคงต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับการลงสนามในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ค่อนข้างวุ่นวายในเวลานี้
ดังนั้นการจำกัด กราเฟนแบร์ก เล่นอยู่เพียงพื้นที่เดียวของสนาม แม้จะเป็นบทบาทที่เขาทำได้ดีก็ตาม อาจเท่ากับการไปปิดกั้นหรือบั่นทอนคุณสมบัติที่สามารถหล่อหลอมให้เขากลายเป็นหนึ่งในมิดฟิลด์แบบครบเครื่องที่ดีที่สุดในโลกได้
- ลดภาระของนักเตะลงบ้าง
สำหรับตอนนี้บรรดาคู่แข่งหลักในการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกของลิเวอร์พูล ต่างก็มีนักเตะประสบการณ์สูงประจำตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับกันทั้งนั้น
แม้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ จะดูอ่อนไปบ้างในตำแหน่งนี้หลัง โรดรี้ บาดเจ็บแต่พวกเขาก็ยังสามารถประคับประคองผลงานของทีมได้เป็นอย่างดี ขณะที่ มอยเซส ไกเซโด้ โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นกับ เชลซี ด้าน มาร์ติน ซูบีเมนดี้ ได้รับคำชมว่าเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะนำ อาร์เซน่อล เฉิดฉายในฤดูกาลนี้
แทบทุกทีมในครึ่งบนของตารางเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ยกเว้น ลิเวอร์พูล ต่างก็มีมิดฟิลด์ตัวรับอาชีพแท้ๆ และได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ
ขณะที่ กราเฟนแบร์ก ถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่นี้มากเกินไป ทั้งการช่วยปกป้องแนวรับสี่คน, คอยอุดช่องว่างบริเวณฟูลแบ็ก, เป็นจุดเริ่มต้นเกมรุก บางครั้งต้องเติมขึ้นไปช่วยเกมบุก, คุมจังหวะเกม, ไล่กดดันมิดฟิลด์คู่แข่ง และบ่อยครั้งยังต้องถอยไปยืนเป็นเซ็นเตอร์แบ็กชั่วคราวอีกด้วย
สตาร์ชาวดัตช์ ต้องแบกรับหน้าที่ในการเป็น "เด็กยกน้ำ" หรือผู้เล่นที่คอยวิ่งไล่เก็บงานหนัก ๆ และในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นหนึ่งในมันสมองหลักด้านการสร้างสรรค์เกม ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงคุณภาพของเขาที่สามารถรับมือกับภาระเหล่านี้ได้ทั้งหมด
ดังนั้นการคว้ากองกลางตัวรับระดับท็อปอีกคนซึ่งถนัดกับการยืนต่ำและตัดเกมคู่แข่ง เข้ามาเล่นเคียงข้าง กราเฟนแบร์ก จะช่วยปลดปล่อยให้เขาสามารถขยับขึ้นไปเล่นในแดนหน้ามากขึ้น
- กองกลางตัวรับอาชีพช่วยดึงศักยภาพของ กราเฟนแบร์ก
ลองพิจารณาตอนที่ กราเฟนแบร์ก เล่นให้ทีมชาติเนเธอร์แลนด์เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ โดยนักเตะจับคู่ได้อย่างลงตัวกับ แฟรงกี้ เดอ ยอง มิดฟิลด์ตัวเก่งจาก บาร์เซโลน่า
เดอ ยอง มีบทบาทที่โดดเด่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ โดยสไตล์การเล่นของเขาผสมผสานการจ่ายบอลที่แม่นยำ, การสัมผัสบอลที่เนียนตา และการเลี้ยงบอลอย่างลื่นไหล เข้ากับความสามารถในการเข้าปะทะ, ตัดบอล และปิดช่องทางการจ่ายของคู่แข่ง พร้อมทั้งมีพละกำลังเหลือเฟือ
เวลาที่ กราเฟนแบร์ก กับ เดอ ยอง ทำงานร่วมกัน พวกเขาสามารถผสานหน้าที่เกมรุกและเกมรับได้อย่างลงตัว และมีแนวโน้มว่าจะเป็นคู่มิดฟิลด์ตัวจริงของทัพ “อัศวินสีส้ม" ในศึกฟุตบอลโลก 2026
หาก ลิเวอร์พูล สามารถคว้าตัวผู้เล่นอย่าง เอลเลียต แอนเดอร์สัน ของ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ซึ่งมีคุณสมบัติตรงกับบทบาทลักษณะนี้ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับแฟนบอล ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในการดึงศักยภาพที่แท้จริงของ กราเฟนแบร์ก ออกมาได้อย่างเต็มที่
- สร้างสมดุลในแดนกลางให้เหมาะสม
สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยปลดปล่อย กราเฟนแบร์ก เท่านั้น แต่เป็นแนวทางในการช่วยป้องกันเกมรับในแดนกลางด้วย เพราะทุกครั้งที่เปิดเกมรุกพื้นที่แดนกลางมักจะเปิดโล่งมากเกินไป จนทำให้เกิดความเสียหายเมื่อโดนคู่แข่งสวนกลับ
แม้ทัพ "หงส์แดง" จะมีนักเตะที่เล่นได้หลากหลายตำแหน่งอย่างโดมินิค โซโบซไล แต่เขาทำผลงานได้ดีที่สุดเมื่อเล่นในบทบาทมิดฟิลด์ตัวรุก หรือเป็นผู้เล่นที่ถูกคาดหวังให้สร้างอิทธิพลต่อเกมในพื้นที่สุดท้ายของสนามมากกว่า
ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ และ อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ซึ่งต่างก็เป็นนักเตะฝีเท้าดี สามารถเล่นในแดนกลางได้ แต่รูปแบบการเล่นของทั้งคู่ไม่เน้นการยืนคุมเกม และปกป้องแดนกลางอย่างแท้จริง
สาวก "เดอะ ค็อป" รู้ดีว่า กราเฟนแบร์ก, โจนส์ และ แม็ค อัลลิสเตอร์ พร้อมทุ่มเทวิ่งสู้ฟัดเพื่อทีมเสมอ และเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่อ่อนกว่า การส่งหนึ่งในพวกเขาลงเล่นเคียงข้าง กราเฟนแบร์ก มักให้ผลลัพธ์ที่ดี
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจอกับทีมที่เน้นเกมรุกมากขึ้นในฤดูกาลนี้ แม้จะมีชัยชนะเหนือ เรอัล มาดริด และ อาร์เซน่อล ก็ตาม แต่โดยภาพรวมแล้ว ลิเวอร์พูล มักเปิดช่องโหว่มากเกินไปในแผงมิดฟิลด์
ตัวเลือกในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับขนานแท้อย่าง เอ็นโด ยังไม่ค่อยได้รับความไว้วางใจจาก โค้ชอาร์เน่อ ให้ลงเล่นตัวจริงในเกมพรีเมียร์ลีก ส่วน สเตฟาน บายเซติช โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนทำให้พัฒนาการหยุดชะงัก
จะว่าไปแล้ว ลิเวอร์พูล ตัดสินใจพลาดที่ขายเด็กปั้นจากอะคาเดมีอย่าง ไทเลอร์ มอร์ตัน ซึ่งเวลานี้กำลังทำผลงานได้ดีและได้ลงเป็นตัวจริงแทบทุกเกมในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับให้กับ โอลิมปิก ลียง
- กลางรับหนึ่งในตำแหน่งที่ควรเซ็นช่วงตลาดฤดูหนาว
เชื่อว่าหลายคนอาจรู้สึกไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในการเซ็นสัญญามิดฟิลด์ตัวรับเพิ่มอีกคนในเดือนมกราคมนี้ แต่ควรให้ความสำคัญกับการเซ้นสัญญาผู้เล่นตำแหน่งเซนเตอร์แบ็กมากกว่า
จะว่าไปแล้วเมื่อพูดถึงขุมกำลังของ "หงส์แดง" ในชุดปัจจุบันจะหนักไปทางผู้เล่นเกมรุกมากเกินไป แต่ทีมยังขาดแคลนนักเตะที่สามารถทำงานหนักในเชิงรับ คอยเก็บงานในแดนกลาง และอุดช่องโหว่ต่างๆ
ผู้เล่นตำแหน่งกลางรับอาชีพจะช่วยทำให้ทีมมีความแข็งแกร่งในเกมรับมากขึ้น ที่สำคัญยังคอยสนับสนุนให้นักเตะตัวรุกได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ และแน่นอนว่าจะช่วยดึงพรสวรรค์ชั้นยอดของ กราเฟนแบร์ก ออกมาด้วย
หากมองจากศักยภาพและพรสวรรค์ของ กราเฟนแบร์ก ต้องบอกว่าเขาเก่งเกินกว่าที่จะถูกจำกัดแค่ตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับ ดังนั้น อาร์เน่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาหนทางปลดปล่อยศักยภาพที่แท้จริงของเขาออกมาให้ได้
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄