รูเบน อโมริม ผู้จัดการทีม แมนฯ ยูไนเต็ด สร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ด้วยการปรับให้ทีมลงเล่นในสไตล์ 4-4-2 แทน 3-4-3 ต้อนรับการมาเยือนของ บอร์นมัธ ทั้งๆที่ทีมกำลังมีผลงานที่ดีต่อเนื่อง และเกือบเป็นเรื่องแม้ทีมเจ้าบ้านจะโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจในครึ่งแรกด้วยการนำหน้า เดอะ เชอร์รีส์ 2-1 แต่ครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อทีมเยือนแซงนำ 3-2 ก่อนที่เกมจะจบลงแบบสุดเดือดด้วยสกอร์ 4-4 โดย เซนเน่อ ลัมเมนส์ ต้องออกแรงเซฟอย่างเหลือเชื่อสองหนซ้อนในช่วงทดเวลาช่วยให้ ผีแดง รอดพ้นจากความขายหน้าคาบ้านในการลงเล่นเกม พรีเมียร์ลีก ที่สนาม โอลด์ แทรฟฟอร์ด เมื่อวันจันทร์ที่ 15 ธ.ค.
1.ผีขาด มาซราวี,เชชโก้ คืนโผสำรอง
แมนฯ ยูไนเต็ด จัดทัพลงสนามโดยปราศจาก นุสแซร์ มาซราวี กองหลังทีมชาติ โมร็อกโก ที่ไม่ได้รับการปล่อยตัวให้ลงเล่นนัดนี้จากชาติเจ้าภาพ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์
กระนั้นก็ดี ไบรอัน เอ็มเบอโม่ กับ อาหมัด ดิยัลโล่ ได้รับไฟเขียวให้ลงบู๊ได้ก่อนบินไปรับใช้ แคเมอรูน กับ ไอวอรี่ โคสต์ และทำให้ รูเบน อโมริม ปรับโผจุดเดียวจากเกมบุกไปยำใหญ่ วูล์ฟส์ 4-1 โดยที่ เลนี่ โยโร่ ได้ออกสตาร์ตแทน มาซราวี ในแดนหลัง
พร้อมกันนี้ เจ้าบ้านต้อนรับการกลับมาของ เบนยามิน เชชโก้ กองหน้าร่างย้กษ์ซึ่งเจ็บเข่าไปตั้งแต่เกมบุกไปเสมอกับ สเปอร์ส 2-2 เมื่อวันที่ 8 พ.ย.โดยหัวหอกทีมชาติ สโลวีเนีย มีชื่อนั่งข้างสนามร่วมกับ ไทเรลล์ มาลาเซีย กองหลังกระดูกเปราะ
2.เชอร์รีส์ ไม่โกงปรับหนึ่งโผ
อันโดนี่ อิราโอลี่ กุนซือทีม บอร์นมัธ โรเตชั่นทีมหนึ่งตำแหน่งเช่นกันหลังจากนัดก่อน เดอะ เชอร์รีส์ เฝ้าบ้านเสมอกับ เชลซี แบบไร้สกอร์เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.
เกมนี้ทีมเยือนเลือกใช้งาน ไทเลอร์ อดัมส์ กองกลางที่พ้นโทษแบนกลับมาลงสนามแทนที่ อเล็กซ์ สกอตต์ ขณะที่ มาร์กอส เซเนซี่ กองหลังเช็กฟิตผ่านลงเล่นได้ตามปกติ
อย่างไรก็ดี ทีมของกุนซือสแปนิชไม่มีนักเตะที่ต้องผละไปเล่นในรายการ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ เนื่องจาก อามีน อัดลี่ มิดฟิลด์ทีมชาติ โมร็อกโก ไม่ถูกเรียกตัวไปติดธง ขณะที่ทีมชาติ กาน่า ของ อองตวน เซเมนโย่ ศูนย์หน้าคนสำคัญตกรอบคัดเลือก
3. อโมริม จัดให้ 4-4-2
ก่อนเกมการฟาดแข้ง อโมริม เปรยกับสื่อเป็นนัยว่าเขาพร้อมปรับสไตล์การเล่นจากหมาก 3-4-3 จนทำให้สื่อคาดหมายว่ากุนซือโปรตุกีสจะหันมาให้ทีมเล่นในระบบแบ็คโฟร์แทน
และจากการยืนตำแหน่งของนักเตะ ปรากฏว่า แมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนมาเล่นในสไตล์ 4-4-2 โดยมี โยโร่ ปักหลักเป็นแบ็คขวา ขณะที่ อายเด็น เฮฟเว่น ยืนเซ็นเตอร์แบ็คร่วมกับ ลุค ชอว์ ส่วน ดีโอโก้ ดาโลต์ รับภาระแบ็คซ้าย
สำหรับแดนกลาง อาหมัด ทำหน้าที่เป็นปีกขวาโดยที่ เมาท์ สวมบทปีกซ้าย ส่วนคู่กลางหนีไม่พ้น บรูโน่ แฟร์นันด์ส ประสานงานกับ กาเซมีโร่
สุดท้ายในแดนหน้า มาเตอุส คุนญ่า จับคู่กับ ไบรอัน เอ็มเบอโม่ เป็นสองหัวหอก
4. ไร้คลีนชีตตามเคย
จนแล้วจนรอด แมนฯ ยูไนเต็ด พลาดการคว้าคลีนชีตอีกเกมจนได้แม้จะนำหน้าก่อนจากลูกโขกระยะเผาขนของ อาหมัด ดิยัลโล่ ตั้งแต่นาทีที่ 13 แต่ บอร์นมัธ ใช้โอกาสไม่เปลืองทวงคืนเป็น 1-1 จากประตูของ เซเมนโย่ ในนาทีที่ 40
อย่างไรก็ดี ช่วงทดเวลา กาเซมีโร่ โขกลูกเตะมุมตุงตาข่ายที่เสาไกลให้เจ้าบ้านนำหน้าอีกหน และเป็นสกอร์สุดท้าย 2-1 ของ เร้ด เดวิลส์ ใน 45 นาทีแรกซึ่งต้องบอกว่าทีมของ อโมริม เปิดตัวกับระบบ 4-4-2 ได้อย่างน่าประทับใจไม่เบา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจบครึ่งแรกสถิติเผยว่า แมนฯ ยูไนเต็ด หาโอกาสยิงได้มากถึง 17 ครั้งซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดในเกมครึ่งแรกซีซั่นนี้ของพวกเขา
ขณะเดียวกัน ผีแดง ได้ประตูในเกม พรีเมียร์ลีก จากลูกเตะมุมซีซั่นนี้มากที่สุด 7 เม็ดเป็นรองแค่ อาร์เซน่อล ทีมเดียว 9 เม็ด
5. แผงหลังอย่างรั่ว ลัมเมนส์ เซฟผี
เริ่มครึ่งหลังกลายเป็นหนังคนละม้วนซะอย่างนั้นเพราะไม่เพียง เอวานิลสัน จะตีเสมอให้ เดอะ เชอร์รีส์ ได้ตั้งแต่นาทีแรก ถัดมาในนาทีที่ 52 มาร์คัส ทาเวอร์เนียร์ โชว์การตะบันฟรีคิกหน้าเขตโทษตุงตาข่ายให้ทีมเยือนแซงนำ 3-2 อย่างไม่น่าเชื่อ
ถึงตอนนี้เท่ากับว่า บอร์นมัธ กลายเป็นทีมแรกที่บุกมายิงประตูที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ในเกม พรีเมียร์ลีก ได้สามประตูเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้วโดยสองปีที่ผ่านมา พวกเขาบุกมาชนะที่ โรงละครแห่งความฝัน ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยสกอร์ 3-0 ทั้งสองนัด
และจากนั้นเกมก็พลิกผันไปมาก่อนหลายตลบก่อนจะจบลงด้วยผลเสมอ 4-4 โดยที่ต้องบอกว่า ผีแดง รอดตายคารังเนื่องจาก เซนเน่อ ลัมเมนส์ ช่วยเซฟลูกอันตรายจากทีมเยือนได้สองหนซ้อนในช่วงทดเวลา หาไม่แล้ว เดอะ เชอร์รีส์ จะบุกมาชนะเกมลีกที่ โรงละครแห่งความฝัน ได้เป็นปีที่สามติดต่อกันซึ่งไม่เคยมีทีมไหนทำได้มาก่อน