ภาพที่สะท้อนว่า ลิเวอร์พูล ยังไม่พร้อมจะเสีย ซาลาห์ ไป

ภาพที่สะท้อนว่า ลิเวอร์พูล ยังไม่พร้อมจะเสีย ซาลาห์ ไป
ชัยชนะ 2-0 เหนือทีมที่ขึ้นชื่อว่าเล่นฟุตบอลฉลาด จัดจ้าน และไม่เคยเป็นคู่แข่งที่ ลิเวอร์พูล รับมือได้ง่าย ๆ อาจไม่ใช่เกมที่สมบูรณ์แบบ แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล บนช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของฤดูกาล มันคือก้าวสำคัญอย่างแท้จริง

ถ้าจะพูดกันตามตรง เกมกับ ไบรท์ตัน นัดนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเกมใหญ่ของลิเวอร์พูล ทั้งที่ไม่ได้เป็นบิ๊กแมตช์ในเชิงชื่อชั้น

ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น ? เหตุผลแรกคือ บริบทของทีม

ก่อนหน้านี้ ลิเวอร์พูล มีช่วงเวลาฟอร์มสั่นคลอนอย่างหนัก แพ้ถึง 9 จาก 12 เกมทุกรายการ จนคำถามเกี่ยวกับทิศทางทีมของ อาร์เน่อ เริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ

แม้ก่อนเกมนี้ ลิเวอร์พูล จะไม่แพ้ใครมา 4 นัดติดต่อกัน แต่ความจริง ผลเสมออย่างเกมกับ ซันเดอร์แลนด์ หรือเกมที่ ลีดส์ กลับไม่ได้ช่วยคลายความกังวลเท่าไรนัก เพราะมันคือเกมที่ควรชนะแต่กลับทำไม่ได้

และเมื่อคุณต้องเจอกับ ไบรท์ตัน ทีมที่มีผู้เล่นคุณภาพสูง มีโค้ชหนุ่มที่ฉลาด เป็นหนึ่งในทีมที่เล่นฟุตบอลเป็นระบบที่สุดในลีก

เกมนี้จึงไม่ใช่เกมที่คุณจะขอแค่ไม่แพ้ได้อีกต่อไป

ชัยชนะเหนือ อินเตอร์ มิลาน กลางสัปดาห์ก่อนหน้า คือชัยชนะที่มีคุณค่า แต่ก็ต้องยอมรับว่า ลิเวอร์พูล ชนะด้วยฟุตบอลแบบ Low-event game กล่าวคือ เน้นเกมรับ ลดความเสี่ยง และรอจังหวะ

ซึ่งมันเหมาะสมมากสำหรับเกมเยือน แชมเปี้ยนส์ ลีก ทว่าเมื่อกลับมาเล่นในบ้านกับ ไบรท์ตัน ลิเวอร์พูล ไม่สามารถใช้สูตรเดิมได้อีก

แอนฟิลด์ ต้องการฟุตบอลที่ เปิดเกมรุกมากกว่านั้น ต้องการเกมที่ทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าทีมนี้กำลังกลับมา ซึ่งคือโจทย์สำคัญของเกมนี้

ไบรท์ตัน ได้พักเต็มสัปดาห์ ส่วน ลิเวอร์พูล เพิ่งผ่านเกมหนักมา

คำถามคือ ลิเวอร์พูล จะมีพลังมากพอไหม จะเปิดเกมรุกได้จริงหรือเปล่า

คำตอบออกมาไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่ก็เพียงพอ

ชัยชนะ 2-0 คือการทำได้ตามเป้าหมายหลัก และต้องยอมรับความจริงว่า ลิเวอร์พูล กับสถานการณ์นี้ ไม่มีทางเล่นได้สมบูรณ์แบบทุกอย่าง

งานของ อาร์เน่อ ไม่ใช่การเสกทีมให้กลับมาสมบูรณ์ในชั่วข้ามคืน แต่คือการค่อย ๆ ขยับทีละก้าว และเกมนี้คือก้าวที่ใหญ่พอสมควร

ตัวเลขบอกอย่างหนึ่ง… แต่สายตาบอกอีกอย่าง

  • โอกาสยิง : ลิเวอร์พูล 18  ไบรท์ตัน 14
  • ยิงเข้ากรอบ : ลิเวอร์พูล 4 ไบรท์ตัน 1
  • โอกาสทอง : เท่ากัน 3-3
  • xG : ลิเวอร์พูล 1.82 ไบรท์ตัน 1.96

ถ้ามองแค่ตัวเลข คุณอาจบอกว่าเกมสูสี หรือแม้แต่คิดว่า ลิเวอร์พูล โชคดีด้วยซ้ำ

แต่มองจากสายตา ลิเวอร์พูล คือทีมที่ดีกว่าในเกมนี้

ค่า xG ของ ไบรท์ตัน ที่ดูสูง ส่วนหนึ่งมาจากสถานการณ์เช่น ลูกยิงชนเสาของ ดีเอโก้ โกเมซ ที่มี xG สูงถึง 0.46 ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่ควรมีค่าสูงขนาดนั้น เพราะ อลีสซง ปิดมุมไว้หมดแล้ว

อีกทั้งการที่ ไบรท์ตัน ต้องยิงมากขึ้นเพราะตามหลังตั้งแต่วินาทีที่ 46 ก็ส่งผลต่อค่า xG โดยตรง

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ลิเวอร์พูล เพรสซิ่งได้ดีขึ้นจริง สร้าง high turnovers (การแย่งบอลคืนได้ในพื้นที่สูงของสนาม) และเกมรุกดูไหลลื่นขึ้นกว่าหลายนัดที่ผ่านมา

...

เมื่อคุณภาพส่วนบุคคลยกระดับทีม อูโก้ เอกิติเก้ คือกองหน้าที่ดึงดูดโอกาส

สองประตูคือสิ่งที่เห็น และสิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าคือ 7 ครั้งในการยิง

เอกิติเก้ คือกองหน้าประเภทดึงดูดโอกาสทำประตู (chance magnet) เขาอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูได้

80% ความแม่นยำในการจ่าย ชนะการดวล 7 จาก 9 มีส่วนร่วมกับเกมโดยรวม

นี่คือการปรับตัวให้เข้ากับ พรีเมียร์ลีก ที่รวดเร็วเกินคาด และนี่คือการเซ็นสัญญาที่ให้ความหวังระยะยาว

ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ หัวใจของเกมรุกที่มองไม่เห็นในสกอร์

ไม่มีประตู ไม่มีแอสซิสต์ แต่เกมรุก ลิเวอร์พูล ดีขึ้นเมื่อเขาอยู่ในสนาม

เวียร์ตซ์ คือศูนย์กลางของช่วงเวลาที่เกมลื่นไหล และที่สำคัญ เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้เล่นเกมรุก

เข้าสกัด 4 ครั้ง ตัดบอล 2 เก็บบอลคืนมาให้ทีม 9 ชนะการดวล 9 จาก 12

นี่คือผู้เล่นพรสวรรค์สูงที่เล่นได้ทั้งสองเฟสของเกม และน่าตื่นเต้นมากกับทิศทางของ เวียร์ตซ์ ในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล

การเลือก โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นตัวสำรองคนแรก คือการตัดสินใจที่กล้าหาญของ อาร์เน่อ  และ ซาลาห์ ก็ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องทำ

3 โอกาสยิง 5 โอกาสสร้างให้เพื่อน มีส่วนร่วมกับประตู(เตะมุม)

ซาลาห์ ลงเล่นด้วยความกระหายที่ชัดเจน ทุกจังหวะการเคลื่อนที่ การวิ่งไล่ การไล่บีบพื้นที่ ล้วนสะท้อนถึงนักเตะที่ต้องการพิสูจน์บางอย่าง ไม่ใช่แค่ต่อคู่แข่ง แต่ต่อสถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ภายในสโมสร

ภาพที่เขาวิ่งสปีดกลับมาช่วยเกมรับ จังหวะที่เขาไล่กดดันแนวรับ ไบรท์ตัน หรือการเลือกจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมในจังหวะที่สามารถยิงเองได้ ล้วนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่บอกเล่าเรื่องราวได้มากกว่าสถิติประตูหรือแอสซิสต์

คำพูดของ อาร์เน่อ หลังเกมอาจฟังดูเรียบง่าย แต่ในความเป็นจริง ทุกคนรู้ดีว่า ซาลาห์ ไม่เคยเป็นแค่นักเตะคนหนึ่งของ ลิเวอร์พูล 

เขาคือสัญลักษณ์ของทีมยุคใหม่ คือคนที่เปลี่ยนความฝันให้เป็นความจริง และคือมาตรฐานที่ทั้งสโมสรเคยยึดถือมาโดยตลอด

"สำหรับผม ไม่มีอะไรต้องแก้ไข สำหรับผม เขาก็เหมือนนักเตะคนอื่น ๆ ทุกคนในตอนนี้" อาร์เน่อ ยืนยันหลังเกมในงานแถลงข่าว

"ผมไม่เคยพูดถึงสิ่งที่ผมคุยกับนักเตะ และผมก็จะไม่จำเป็นต้องยกเว้นในตอนนี้ แต่การกระทำสำคัญกว่าคำพูด และเขาก็กลับมาอยู่ในทีมอีกครั้ง"

"เมื่อผมต้องเปลี่ยนตัวคนแรก ผมเลือกส่งเขาลงสนาม และเขาก็ทำผลงานได้ในแบบที่แฟนบอลทุกคน รวมถึงตัวผมเองอยากเห็น”

บางที บททดสอบที่แท้จริงอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า ซาลาห์ ยังเก่งพอหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่า ลิเวอร์พูล ยังพร้อมจะโอบรับเขาในบทบาทนี้ ต่อจากนี้หรือเปล่า

ซาลาห์ คือผู้เล่นลิเวอร์พูลคนสุดท้ายที่เดินออกจากสนาม

ภาพรอยยิ้มและการปรบมือหลังเกม ไม่ได้ดูเหมือนเป็นการอำลา แต่เหมือนคำว่าแล้วเจอกันใหม่มากกว่า

...

เกมนี้คือสัญญาณที่ดี ไม่แพ้ใคร 5 นัดติด อันดับ 6 ตามอันดับ 4 แค่ 2 แต้ม

ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพียงแค่กำลังมาในทิศทางที่ถูกต้อง

การได้พักเต็มสัปดาห์คือข่าวดี ทั้งเพื่อฟื้นฟูร่างกาย และเยียวยานักเตะที่มีอาการบาดเจ็บอย่าง โจ โกเมซ, โคดี้ กัคโป, วาตารุ เอ็นโด

ลิเวอร์พูล ต้องเดินหน้าต่อทีละก้าว และต้องไปอย่างมั่นคง

#HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : Gettyimages
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport