บังโม รีเทิร์น! เหตุผลที่ระบบกองกลางไดมอนส์เหมาะกับ ลิเวอร์พูล และซาลาห์

บังโม รีเทิร์น! เหตุผลที่ระบบกองกลางไดมอนส์เหมาะกับ ลิเวอร์พูล และซาลาห์
ระบบกองกลางไดมอนด์ หรือ 4-3-1-2 ของ ลิเวอร์พูล ทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมกับอินเตอร์ มิลาน และมันสร้างประโยชน์ได้อย่างมากกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หาก อาร์เน่อ สล็อต ยังคงยึดแท็กติกนี้ต่อไปในอนาคต

แม้มีการเซ็นสัญญากับสองกองหน้าอย่าง อเล็กซานเดอร์ อีซัค กับ อูโก้ เอกิติเก้ ช่วงซัมเมอร์ แต่แผนการเล่นก็ไม่ใช่การส่งทั้งคู่ลงเล่นพร้อมกัน ที่ผ่านมาพวกเขามีโอกาสได้ลงตัวจริงพร้อมกันเพียงครั้งเดียวเท่านั้น คือแมตช์ที่ "หงส์แดง" บุกถลุง ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 5-1 ก่อนหน้าเกมเยือนถิ่นจูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา

หนึ่งในลักษณะเด่นของฤดูกาลนี้สำหรับ "เดอะ เร้ดส์" คือการเปลี่ยนระบบจาก 4-3-3 ที่ใช้เมื่อซีซั่นที่แล้ว มาเป็น 4-2-3-1 การปรับระบบดังกล่าวมักทำให้ทีมเปิดพื้นที่และถูกเจาะได้ง่าย ซึ่งบรรดากุนซือคู่แข่งเองก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ในเกมกับ อินเตอร์ จะเห็นได้ว่า ลิเวอร์พูล เล่นได้อย่างแข็งแกร่ง และคู่แข่งแทบไม่สามารถเจาะเข้าไปตรงกลางได้ง่ายๆ ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่าแท็กติกใหม่ของ โค้ชอาร์เน่อ อาจจะไปได้สวย

แล้วมันจะดีมากแค่ไหน หากระบบกองกลางไดมอนส์ จะ โม ซาลาห์ อยู่ด้วย 

1. บทบาทของ  ซาลาห์ ตอนที่ไม่มีบอล

ส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ ซาลาห์ ถูกดร็อป มาจากความตั้งใจของ โค้ชอาร์เน่อ ที่ต้องการหยุดการเสียประตูอย่างต่อเนื่องของทีม แม้ว่าฟอร์มของ "หงส์แดง" จะไม่ใช่ความผิดของ ดาวเตะชาวอียิปต์ เพียงคนเดียว แต่การใช้ โดมินิค โซบอซไล เล่นทางขวากลับช่วยทำให้ทีมมีความเหนียวแน่นขึ้น

อย่างไรก็ตาม การใช้งาน กัปตันทีมชาติฮังการี เป็นตัวริมเส้นไม่น่าจะเป็นทางออกในระยะยาว เพราะ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องใช้พลังการจบสกอร์ของผู้เล่นแนวรุก โดยเฉพาะ ซาลาห์  ตลอดทั้งซีซั่น

ในเกมพบ ลีดส์ ยูไนเต็ด และ อินเตอร์  นั้น นายใหญ่ชาวดัตช์ เลือกใช้ระบบกองกลางไดมอนด์ ซึ่งหมายความว่าไม่มีปีกอาชีพอยู่ในสนามเลย ฉะนั้นในจังหวะที่ไม่มีบอล บรรดากองหน้าไม่จำเป็นต้องถอยลงมาลึกมากนัก แต่เน้นการไล่บีบสูงในพื้นที่แดนบนของสนาม ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจเป็นประโยชน์กับ ซาลาห์ ได้

แม้ว่า "บังโม" จะวิ่งรวมต่อ 90 นาทีในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้มากกว่าซีซั่นที่แล้ว แต่ สตาร์หมายเลข 11 ก็ยังถูกวิจารณ์ว่าไม่ค่อยลงมาช่วยเกมรับ ดังนั้นหากเขาถูกใช้งานในฐานะหนึ่งในกองหน้าคู่ ลิเวอร์พูลก็ยังสามารถใช้ประโยชน์จากพลังการวิ่งอันไม่รู้จักหมดของเขาได้ 

แถม ซาลาห์ ไม่ต้องถูกบังคับให้วิ่งไล่ตามตัวประกบลงลึกถึงด้านหลังมากนักด้วย 

2. ซาลาห์ สามารถเล่นหน้าคู่ได้ไหม ? 

การให้ ซาลาห์ เล่นเป็นหนึ่งในกองหน้าคู่ก็อาจเข้ากับสไตล์ของเขาในจังหวะที่ทีมครองบอลเช่นกัน

แน่นอนว่า แข้งวัย 33 ปี ไม่ได้คุ้นเคยนักกับการเล่นเป็นหน้าเป้า แต่รูปแบบการเล่นของ เอกิติเก้ และ อีซัค เปิดโอกาสให้กองหน้าทั้งสองสามารถฉีกออกไปเล่นกว้างได้ และในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นสิ่งจำเป็นด้วยซ้ำ

โดยปกติในจังหวะบุกเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จะมีหนึ่งในกองหน้าที่ถ่างออกไปริมเส้นเพื่อช่วยฟูลแบ็ก ขณะที่อีกคนยืนประคองตำแหน่งเพื่อเป็นเป้าหมายในการจบสกอร์ในกรอบเขตโทษ

แมตช์ที่พบกับ ลีดส์ จะเห็นได้ว่า โกดี้ คักโป  ใช้เวลาทางฝั่งซ้ายมากจนทำให้รูปแบบการเล่นแทบจะดูไม่ออกว่าเป็นระบบ 4-ไดมอนส์-2 หรือ 4-3-1-2  ตามที่ อาร์เน่อ อธิบายไว้ เมื่ออยู่ในจังหวะไม่มีบอล 

อีกคุณสมบัติหนึ่งที่กองหน้าจำเป็นต้องมีคือการวิ่งสอดทำลายแนวรับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ ซาลาห์ น่าจะทำได้ แม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่เน้นการสร้างสรรค์เกมมากขึ้น 

หนึ่งในเหตุผลที่ กุนซือชาวดัตช์ ไม่ค่อยส่ง อีซัค และ เอกิติเต้ ลงเล่นคู่กันบ่อยนัก น่าจะมาจากความจริงที่ว่ามันไม่สามารถรักษาความต่อเนื่องในการใช้งานทั้งคู่ทุกนัดตลอดทั้งฤดูกาลได้

อย่างไรก็ตาม หากสามารถใส่ ซาลาห์ เข้าไปในระบบโรเตชั่นได้ มันก็จะดูเป็นไปได้มากขึ้นในแง่ของการบริหารความฟิต และยังหมายความว่า ลิเวอร์พูล ไม่ต้องแบกรับเกมรุกทั้งหมดไว้บน ตัวดาวเตะอียิปต์เพียงคนเดียว ขณะที่เขาเองก็กำลังเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพค้าแข้งแล้ว

สตาร์จากแดนไอยคุปต์ ยังสามารถเล่นเป็นตัวหลังหน้าเป้าร่วมกับ ฟลอเรียน เวิร์ตซ์ หรือ เอกิติเก้ ได้ด้วย ซึ่งจะทำให้ระบบกลายเป็น 4-1-2-2-1 และมันจะเป็นแผนที่ยืดหยุ่นสูงเมื่อใช้งานจริง

3. วิธีทำให้แผนนี้ลงตัว

ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่พึ่งพาผู้เล่นตำแหน่งปีกมาตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในระยะสั้น โค้ชอาร์เน่อ ก็คงไม่เปลี่ยนไปจากแนวทางนั้นมากนัก อย่างไรก็ตาม "หงส์แดง" มีองค์ประกอบหลายอย่างที่สามารถทำให้ระบบ 4-ไดมอนด์-2 ใช้งานได้ผล โดยเฉพาะในแผงกองกลางและตำแหน่งฟูลแบ็ก

หัวใจสำคัญของระบบนี้คือบรรดากองกลางที่มีพละกำลังสูงและสามารถรับบอลในพื้นที่แดนของตัวเองได้อย่างมั่นใจ โดยในเกมพบอินเตอร์ จะเห็นได้ว่า เคอร์ติส โจนส์ มักเป็นคนที่ถอยต่ำลงมารับบอลจากคู่เซ็นเตอร์แบ็ก และเขาก็กล้าตัดสินใจรวมถึงจ่ายบอลได้อย่างแม่นยำ 

ดาวเตะชาวอังกฤษ ทำสถิติสูงสุดทั้งจำนวนครั้งการจ่ายบอลสำเร็จ (67/70), การจ่ายบอลเจาะเส้นกองกลาง (14 ครั้ง) และการจ่ายบอลที่ทำลายแนวรับคู่แข่งได้ 3 ครั้ง (ข้อมูลจาก Opta) 

ที่จริงแล้ว โจนส์ คือกองกลางที่มีความแม่นยำสูงที่สุดในบรรดาผู้เล่นตำแหน่งเดียวกันใน 5 ลีกใหญ่ยุโรป เมื่อพูดถึงการจ่ายบอลก้าวหน้าในฤดูกาลนี้ ตามข้อมูลของ DataMB 

4. แท็กติกนี้เกื้อหนุน กราเฟนแบร์ก

ระบบนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นประโยชน์กับ ไรอัน กราเฟนแบร์ก โดยเขายืนลึกในแดนกลางเพื่อคอยตัดเส้นทางจ่ายบอลเข้าสู่กองหน้าคู่ของอินเตอร์ ที่มักถูกดันให้ต้องขยับเข้าไปดวลกับ อิบราฮิม่า โกนาเต้ และ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ 

กราเฟนแบร์ก มักจะต้องขยับขึ้นไปเติมเกมบุกมากขึ้นในฤดูกาลนี้ แต่ฟอร์มของเขากลับดีขึ้นเมื่อได้รับบทบาทที่เรียบง่ายกว่าในเกมที่จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ระบบนี้ทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ฟูลแบ็กจำเป็นต้องมีบทบาทสำคัญ โดยมักจะมีหนึ่งคนที่ยืนต่ำในตอนขึ้นเกม ขณะที่อีกคนเติมเกมสูงขึ้นไป

โจ โกเมซ ทำผลงานได้ดีในตำแหน่งแบ็กขวา แต่ฟูลแบ็กถือเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างมิติในเกมรุกมทางด้านกว้าง ในกรณีที่ทัพ "หงส์แดง" ไม่มีผู้เล่นริมเส้นอยู่ในสนาม 

หน้าที่นี้เหมาะกับ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ หรือ เจเรมี่ ฟริมปง มากกว่า และเห็นได้ชัดว่าตอนที่ แบรดลีย์ ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเขาสามารถเล่นได้เข้ากับบทบาทนี้เป็นอย่างดีจากฟอร์มที่แสดงให้เห็นในช่วง 20 นาทีสุดท้ายของเกมเมื่อวันอังคาร 

5. การปรับสไตล์ตามรูปเกม 

เช่นเดียวกับทุกระบบ แผนการเล่นต้องปรับเปลี่ยนได้ และผู้เล่นจำเป็นต้องคิดและตัดสินใจตามสถานการณ์ในสนาม  ซึ่งถือเป็นสิ่งที่เราอาจไม่ได้เห็นมากพอในฤดูกาลนี้

เรื่องนี้มักปรากฏให้เห็นชัดเจนในรูปแบบที่ โซโบซไล ขยับขึ้นไปไล่เพรสในพื้นที่สูงกว่าเดิม ซึ่งแทบไม่มีใครในพรีเมียร์ลีกที่เหมาะกับบทบาทนี้มากไปกว่าเขาแล้ว  แต่ในความเป็นจริงจะได้เห็นระบบนี้ใช้งานระยะยาวหรือไม่ ? ก็น่าจะไม่ แต่มันก็มีเหตุผลรองรับเหมือนกัน

ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องปรับทิศทางใหม่ เพราะไม่สามารถเดินหน้าต่อไปบนเส้นทางเดิมได้อยู่แล้ว โค้ชอาร์เน่อ ลงมือปรับแผน และการตัดสินใจของเขาก็เห็นผลในเกมกับอินเตอร์ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นในแอนฟิลด์ อาจต้องการบางอย่างมากกว่านั้นเพื่อปลุกเร้าแฟนๆ โดยเฉพาะเวลาที่ทีมเล่นเกมบุก ท่ามกลางเสียงเชียร์ของสาวก "เดอะ ค็อป" ที่ปลุกเร้าตลอดทั้งเกม

แน่นอนว่าระบบ 4-ไดมอนส์-2 ยังคงใช้ได้ แต่คงต้องเน้นการเล่นเกมรุกมากกว่าเดิม โดยสลับจาก อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ เป็น เวียร์ตซ์ ที่มีมิติการสร้างสรรค์เกมบุกที่โดดเด่นกว่า "แม็คก้า" 

ดังนั้นระบบนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ที่ ลิเวอร์พูล ต้องเจอในเกมนั้นๆ และด้วยการที่มีขุมกำลังให้เลือกหลากหลาย นั่นทำให้ทีมสามารถยืดหยุ่นระบบได้

✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄



ที่มาของภาพ : getty images
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport