90 นาทีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อคืนวันอาทิตย์อาจไม่ใช่เกมที่เปี่ยมด้วยคุณภาพมีจังหวะสวย ๆ มากนัก
แต่นี่คือเกมลักษณะที่เป็นดาร์บี้แมตช์โดยแท้ คือหนักหน่วง เข้มข้น ดุดัน เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีไม่มีใครยอมแพ้
นักเตะเชลซีและอาร์เซน่อลพร้อมบวก เข้าปะทะจังหวะ 50-50 หรือตัดเกมอย่างไม่ลังเล บอลแบบนี้ใครติ๋ม ใครหงอก็แพ้ไป
แฟนปืนใหญ่อาจจะบอกว่าเชลซีเล่นคน ใบแดงของ มอยเซส ไกเซโด คือตัวอย่างชัดเจน แต่แฟนเชลซีก็อาจจะบอกว่าแข้งปืนโตเล่นเบาซะที่ไหน ใบเหลืองปาเข้าไปตั้ง 6 ใบแถมจังหวะตัดเกมอื่น ๆ อีก มันก็พอ ๆ กันนั่นแหละ
สำหรับผมแค่เห็นว่าเกมนี้ทั้ง 2 ฝ่ายไม่มียอม ไม่มีถอย พร้อมฟาดกันแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน และแฟนบอลคงไม่อาจเรียกร้องอะไรมากไปกว่านี้ได้อีก
เพียงได้เปรียบตัวผู้เล่น ไม่ได้หมายความว่าอาร์เซน่อลจะไล่ตบเชลซีได้แบบสบายอุรา ต้องไม่ลืมคุณภาพนักเตะของทีมร่วมกรุงลอนดอนด้วย และจากเกมที่ได้เห็นมันก็ชัดว่า 10 คนของเชลซียังเต็มไปด้วนวินัย กล้าหาญ และหาโอกาสลงโทษคุณได้ถ้าเผลอหรือไม่ระวัง
แฟนบอลบางคนอาจคิดว่า 11 ต่อ 10 เราต้องได้เห็นการไล่ต้อน ไล่ขย่ม ไล่บดขยี้แล้วชนะ 3 ลูก 4 ลูก ถ้ามาตรฐานระหว่างทั้ง 2 ทีมห่างกันมากแบบทีมพรีเมียร์ลีกกับทีมระดับลีกทูหรือนอกลีกก็อาจจะเป็นอีกเรื่อง แต่นี่คือพรีเมียร์ลีก ดาร์บี้แมตช์ รองจ่าฝูง แถมยังเป็นรองจ่าฝูงที่แสดงให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่ธรรมดา
เปแอสเชแชมป์ยุโรปก็โดนทุบ บาร์เซโลน่าแชมป์สเปนก็โดนถลุง นักฟุตบอลคุณภาพทันกันอยู่ไม่ได้เป็นรองแบบคนละเกรด
ฟุตบอล 10 ต่อ 11 นั้นเป็นรองอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่บทสรุปว่าต้องแพ้แน่นอน มันไม่ได้มีสูตรสำเร็จอะไรบอกอย่างนั้น หลายครั้งทีมที่ถูกไล่ออกถ้ายังมีสมาธิดี มีวินัย ไม่ตื่นตระหนก พวกเขาสามารถรับมือกับความเสียเปรียบนั้นได้ บางครั้งบางหนยังฉวยโอกาสที่มีไม่มากและความเผลอเรอย่ามใจของคู่แข่งที่มีตัวผู้เล่นมากกว่าลงโทษคืนด้วยซ้ำ
ในทางกลับกัน ฟุตบอล 11 ต่อ 10 จึงไม่ได้มีอะไรการันตีว่าความได้เปรียบที่ได้มานี้จะทำให้คุณชนะร้อยเปอร์เซนต์ หรือสามารถไล่ต้อนเขาได้แบบแมวไล่ตบหนูเหมือนเป็นของตาย
ถ้าต้องการบุกให้หนักเพื่อเอาประตู คุณต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงระดับหนึ่ง บอลต้องเร็วขึ้น ต้องกล้าจ่ายบอลได้เสียมากขึ้น ทุกแนวต้องดันขึ้นมาสูงขึ้น สิ่งที่จะตามมาก็คือความแน่นอนที่ลดลง และอีกฝ่ายย่อมต้องรอโอกาสนี้อยู่
จ้องแย่งบอลหรือเข้าปะทะในจังหวะเหมาะ ๆ เก็บบอลสองแล้วโจมตีเร็ว และนักเตะเชลซีที่อยู่ในสนามก็เหมาะกับการเล่นโต้ฉับพลันด้วยทั้ง เปโดร เนโต้ เอสเตเวา ในครึ่งแรก และ อเลฮานโดร การ์นาโช่ ในครึ่งหลัง
ไม่เพียงเท่านั้นถ้าจะมองลงไปให้ละเอียดอีกนิด ท่ามกลางความเสียดายของเหล่ากูนเนอร์ส ต้องไม่ลืมว่านักเตะเกมรับของอาร์เซน่อลโดนใบเหลืองระนาวเช่นกัน มาร์ติน ซูบิเมนดี ตั้งแต่นาทีที่ 5 คริสเตียน มอสเกร่า นาทีที่ 13 ริคคาร์โด้ คาลาฟิออรี่ นาที 27 ปิเอโร่ อินคาปิเย่ นาที 41
สมทบด้วย ไมล์ ลูอิส-สเคลลี่ อีกคนหลังเริ่มครึ่งหลังได้แค่ 9 นาที ส่วนใบเหลืองของ วิคตอร์ เยอเคเรส นาที 88 ถือว่าไม่มีผลอะไร
อาร์เตต้าเปลี่ยนคาลาฟิออรี่ตั้งแต่พักครึ่ง พอพลาดโดนนำก็เปลี่ยนซูบิเมนดีออกอีกคน สองคนนี้มีใบเหลืองติดตัวอยู่ ยิ่งการเปลี่ยนซูบิเมนดีคือช่วงที่ทีมต้องการเกมรุกเพิ่มขึ้นพอดี มันก็ยิ่งเข้าใจได้
อาร์เซน่อลได้เปรียบตัวผู้เล่นอยู่แล้ว แต่ความดุเดือดของเกมนั้นมีความสุ่มเสี่ยงอยู่ที่จะเกิดใบเหลืองได้ทุกเมื่อ การเล่นแบบระวังและรัดกุม ยึดความได้เปรียบนั้นไว้เป็นพื้นฐาน ไม่พาตัวเองไปเสียเปรียบตามหรือโยนความได้เปรียบนั้นทิ้งไปผมคิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แล้วยังมีอะไรอีก คู่เซนเตอร์แบ๊กของทีมปืนใหญ่ในเกมนี้ก็ไม่ใช่คู่ตัวหลักเพราะทั้ง กาเบรียล มากัลเญส และ วิลเลียม ซาลิบา เจ็บทั้งคู่ มอสเกร่า กับ อินคาปิเย่ เพิ่งจะได้เล่นด้วยกัน มีใบเหลืองติดตัวทั้งสองคน การเปิดหน้าบุกลุยแหลกเพราะได้เปรียบตัวผู้เล่น หากจบที่การได้ยิงประตูก็ดีไปแต่ถ้าเสียบอลโดนโจมตีพื้นที่ว่างหลังแนวรับก็งานเข้า
หนึ่งคะแนนสำหรับอาร์เซน่อลผมมองว่าเป็นแต้มใหญ่ของพวกเขา จริงอยู่การได้เปรียบตัวผู้เล่น 11 คนต่อ 10 คนตั้งแต่ครึ่งแรกนั้นชวนให้รู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ 3 คะแนนในบั้นปลาย แต่คงต้องไม่ลืมว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาในเกมนี้คือเชลซีที่ได้เล่นในบ้าน
สิงโตน้ำเงินครามคือทีมที่เก็บคะแนนได้ใกล้เคียงกับอาร์เซน่อลที่สุดตลอด 12 เกมที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ เป็นทีมรองจ่าฝูงที่ชนะรวดมา 5 เกมติดต่อกันในทุกรายการ บาร์เซโลน่ายอดทีมจากสเปนยังแพ้ขาดลอย 0-3 ในการพบกันเวทีใหญ่แชมเปี้ยนส์ ลีก
สิ่งที่ผมเห็นคือความละเอียดของ มิเกล อาร์เตต้า ใครอาจจะดูถูกว่าเขาขี้ขลาดก็แล้วแต่ แต่ผมเห็นเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซีซั่นนี้กลายเป็นทีมที่เน้นผลมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่กว่าเดิม ไม่วู่วาม และใจเย็นมากพอ
ผลลัพธ์อาจจะออกมาเสมอไม่ถูกใจแฟนบอลปืนใหญ่บางส่วน แต่วิธีการนี้ของอาร์เตต้าก็เกือบจะทำให้ทีมชนะเหมือนกันเมื่อเริ่มไล่นวดเจ้าถิ่นในช่วงท้ายเกม และเยอเคเรสเกือบได้โขกจ่อ ๆ ในจังหวะที่ ยูร์เรียน ทิมเบอร์ โหนโหม่งตัดหน้า
นิดเดียวเท่านั้น มันเกือบจะถูกต้องทั้งหมดอยู่แล้ว
ท้ายที่สุด เกมที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นดุเดือดในแบบที่เรียกว่า Aggressive นี้ก็ลงเอยด้วยการแบ่งคะแนน ถามว่าทีมไหนสมควรเป็นผู้ชนะมากกว่าก็ตอบยาก ผมเห็นว่ามันคือเกมที่ไม่ควรแพ้ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ผลเสมอยุติธรรมดีแล้ว
ยังเชื่อเหมือนเดิมว่าหนึ่งคะแนนจากสแตมฟอร์ด บริดจ์ในช่วงที่เชลซีเองก็ฟอร์มสดมาก ๆ คือแต้มใหญ่ของอาร์เซน่อลและน่าจะอยู่ในเป้าหมายของอาร์เตต้าก่อนเตะ
ถ้ามันยังเป็นการทำได้ตามเป้าหมาย คือหากฉีกหนีเชลซีเป็น 9 แต้มไม่ได้ก็อย่าให้มันลดจาก 6 เหลือ 3 ก็ถือว่าทำได้ตามเป้า
แล้วคืนนี้มาลุ้นกันต่อ เมื่อผู้ท้าชิงเบอร์หนึ่งอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทะยานเข้ามาใกล้เหลือแค่ 2 แต้มแล้ว
มาดูกันครับว่าอาร์เซน่อลจะหนีออกไปได้อีกครั้งหรือไม่
#ตังกุย