เปิดผลงานของบรรดานักเตะค่าตัวสูงบนเวทีพรีเมียร์ลีก หลังหลายดีลระดับเกิน 75–125 ล้านปอนด์ยังสร้างคำถามเรื่องความคุ้มค่า ทั้งกรณีของ ลิเวอร์พูล, เชลซี, แมนฯ ซิตี้, อาร์เซน่อล และ แมนฯ ยูไนเต็ด
คำถามที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบ่อยครั้งในยุคตลาดนักเตะเงินสะพัดคือ บรรดานักเตะ ค่าตัวระดับพันล้านบาท ในพรีเมียร์ลีกประสบความสำเร็จจริงหรือไม่? ประเด็นนี้ถูกจุดขึ้นอีกครั้งหลัง ลิเวอร์พูล ทุ่มเสริมทัพถึง 415 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ ก่อนจะหล่นมาอยู่อันดับ 12 แบบเหนือความคาดหมาย แม้เปิดซีซั่นอย่างร้อนแรงภายใต้การคุมทีมของ อาร์เน่อ สลอต เมื่อสองเดือนก่อน
ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ค่าตัวเบื้องต้น 100 ล้านปอนด์ จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และ อเล็กซานเดอร์ อิซัก ค่าตัวสถิติเกาะอังกฤษ 125 ล้านปอนด์ จาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด คือ 2 แข้งที่ถูกจับตามากที่สุด ทว่าทั้งคู่กลับยังไม่สามารถสร้างผลงานตามที่คาดหวัง โดย เวียร์ตซ์ ยังไม่มีประตูหรือแอสซิสต์จาก 11 นัดลีก ส่วน อิซัก ยังยิงประตูไม่ได้ และเพิ่มเพียง 1 แอสซิสต์
แม้จะเร็วเกินไปที่จะตัดสิน แต่เมื่อย้อนดูดีลค่าตัวสูงในอดีต ภาพรวมสะท้อนชัดว่าไม่ใช่ทุกดีลจะ “คุ้มค่า” ตามตัวเลขที่จ่ายไป
เชลซี : เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ (106.8 ล้านปอนด์) และ มอยเซส ไกเซโด้ (100 ล้านปอนด์)
ทั้งคู่ถูกดึงมาในปี 2023 ภายใต้โปรเจกต์สร้างทีมใหม่ของเชลซี โดย เอ็นโซ่ เข้ามาหลังคว้าแชมป์โลกกับอาร์เจนตินา ส่วน ไกเซโด้ ถูกปาดตัวจากลิเวอร์พูลก่อนปิดดีล
แม้จะพาทีมคว้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก และ คลับ เวิลด์ คัพ แต่ผลงานในลีกจบอันดับ 6 และ 4 ในสองซีซั่นหลัง ยังห่างไกลคำว่าประสบความสำเร็จเต็มรูปแบบ ทว่าทั้งคู่ยังคงเป็นตัวหลักและมีเวลาพิสูจน์
ตัดเกรด : ยังพอหวังได้
แมนฯ ซิตี้ : แจ็ค กรีลิช (100 ล้านปอนด์)
กรีลิช คว้าแทบทุกแชมป์กับซิตี้ แต่กลับไม่สามารถโชว์ฟอร์มระดับเดียวกับสมัยอยู่แอสตัน วิลล่า ตัวเลขประตู–แอสซิสต์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และการมาของ เฌเรมี่ โดกู ในปี 2023 คือสัญญาณชัดว่าเขาไม่ได้อยู่ในแผนระยะยาว ก่อนถูกปล่อยให้เอฟเวอร์ตันยืมตัวในซีซั่นนี้
ตัดเกรด : กลางๆ ไม่ใช่ล้มเหลว แต่ไม่ถึงเป้าที่คาดหวัง
อาร์เซน่อล : เดแคลน ไรซ์ (100 ล้านปอนด์)
ไรซ์ ยกระดับแดนกลางอาร์เซน่อลอย่างชัดเจน กลายเป็นคีย์แมนทั้งเกมรับ–เกมรุกและเป็นตัวจริงทีมชาติอังกฤษแบบไร้ข้อกังขา แม้มีเพียง คอมมิวนิตี้ ชิลด์ เป็นเกียรติยศเดียวตั้งแต่มาอยู่กับทีมก็ตาม
ตัดเกรด : ยังต้องรอพิสูจน์จากถ้วยรางวัล
เชลซี : โรเมลู ลูกากู (97.5 ล้านปอนด์)
กลับสู่เชลซีในปี 2021 พร้อมความหวังมหาศาล หลังยิง 64 ประตูจาก 95 นัดกับอินเตอร์ แต่ฟอร์มตกฮวบ ยิงได้เพียง 15 ประตูจาก 44 นัดรวมทุกรายการ ก่อนถูกปล่อยยืมและย้ายออกถาวรในปี 2024
ตัดเกรด : ล้มเหลว
แมนฯ ยูไนเต็ด : ปอล ป๊อกบา (89 ล้านปอนด์)
กลับมาด้วยสถิติค่าตัวแพงที่สุดในยุคนั้น แต่ไม่อาจพายูไนเต็ดกลับสู่ความสำเร็จตามที่ตั้งใจ แม้เคยติดทีมยอดเยี่ยม พีเอฟเอ ปี 2018–19 แต่ผลงานรวมยังต่ำกว่าความคาดหวังอย่างชัดเจน
ตัดเกรด : ล้มเหลว
แมนฯ ยูไนเต็ด : อันโตนี่ (82 ล้านปอนด์)
ถูกดึงจากอาแจ็กซ์ตามเจ้านาย เอริก เทน ฮาก เพื่อยกระดับเกมรุกสร้างสรรค์ แต่กลับทำได้เพียง 5 ประตู 3 แอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีก ก่อนถูกปล่อยไป เรอัล เบติส ซึ่งกลับทำผลงานดีแบบคนละคน
ตัดเกรด : ล้มเหลว
แมนฯ ยูไนเต็ด : แฮร์รี่ แม็กไกวร์ (80 ล้านปอนด์)
กองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก ไม่เคยติดทีมยอดเยี่ยม พีเอฟเอ และพายูไนเต็ดคว้าได้เพียง คาราบาว คัพ กับเอฟเอ คัพ ถูกปลดจากตำแหน่งกัปตันทีม และไม่เคยลงเล่นเกินครึ่งในแต่ละฤดูกาลนับตั้งแต่ 2021–22
ตัดเกรด : ล้มเหลว
แมนฯ ซิตี้ : ยอชโก้ กวาร์ดิโอล (77 ล้านปอนด์)
ย้ายมาในปี 2023 และคว้า ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ, คลับ เวิลด์ คัพ, พรีเมียร์ลีก ในปีแรก ฟอร์มส่วนตัวถือว่าโดดเด่น โดยเฉพาะการได้รางวัลนักเตะแห่งปีประจำสโมสรเมื่อซีซั่นที่แล้ว
ตัดเกรด : ยังเร็วไป แต่ค่าตัวยังดูสูง
แมนฯ ยูไนเต็ด : โรเมลู ลูกากู (75 ล้านปอนด์)
แม้ยิงรวม 27 ประตูในปีแรก แต่ผลงานจมหายหลังจากนั้น ยูไนเต็ดไม่ได้แชมป์ใดๆ ตลอดสองปี เรื่องดีที่พอมีก็คือถูกขายออกในราคาใกล้เคียงต้นทุน
ตัดเกรด : ล้มเหลว
ลิเวอร์พูล : เวอร์จิล ฟาน ไดค์ (75 ล้านปอนด์)
ดีลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในรายชื่อทั้งหมด ฟาน ไดค์ คือหัวใจแนวรับยุคทองของลิเวอร์พูล ลงเล่นมากกว่า 330 นัด คว้าแชมป์ครบทั้งพรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, เอฟเอ คัพ, คาราบาว คัพ, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ และ คลับ เวิลด์ คัพ พร้อมติดทีมยอดเยี่ยม พีเอฟเอ ถึงห้าครั้ง และคว้านักเตะยอดเยี่ยมทันทีในปีแรก
ตัดเกรด : สำเร็จแบบไร้ข้อกังขา
สรุปภาพรวม ท่ามกลางค่าตัวระดับ 75–130 ล้านปอนด์ ดีลที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงมีเพียง ฟาน ไดค์ ขณะที่อีกหลายดีลยังต้องใช้เวลา หรือกลายเป็นตัวอย่างชัดเจนว่าค่าตัวมหาศาลไม่ได้รับประกันความสำเร็จในพรีเมียร์ลีกเสมอไป