หลัง ลิเวอร์พูล แพ้ติดต่อกันเป็นเกมที่สองด้วยสกอร์ 0-3 สาวก "เดอะ ค็อป" เริ่มถกเถียงกันมากมายว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกับ "หงส์แดง" ทั้งๆ ที่พวกเขามีขุมกำลังเชิงลึกชั้นยอดอยู่ในทีม
"หงส์แดง" กำลังอยู่ในช่วงสับสนเหลือเกินในการวางระบบ โดย อาร์เน่อ สล็อต ยังไม่สามารถสร้างทีมได้ตามที่เขาต้องการ และส่งผลให้นักเตะบางคนไม่สามารถแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่
ตำแหน่งในทีมของ อเล็กซานเดอร์ อีซัค, โดมินิค โซโบซไล ควรเลือกเล่นตำแหน่งไหนกันแน่ และสถานการณ์ของ โค้ชอาร์เน่อ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กำลังได้รับการจับตามองอย่งามากว่ามันจะเป็นยังไงหลังจากนี้
1. สถานการณ์ของโค้ชอาร์เน่อ
แม้ว่าสถานการณ์ของทีมไม่ค่อยน่าอภิรมย์ แต่แฟนบอลหงส์แดงส่วนใหญ่ยังไม่ได้เรียกร้องให้สโมสรปลดกุนซือชาวดัตช์ แต่กระนั้นก็มีบางส่วนที่สูญเสียความเชื่อมั่นเนื่องจากผลงานของทีมตกฮวบอย่างน่าใจหาย
ความกังวลไม่ได้เกิดจากสถิติแพ้ 8 จาก 11 เกมหลังสุดของลิเวอร์พูลในประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นวิธีการที่พวกเขาทำผิดพลาดแบบเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และไม่สามารถหาแนวทางแก้ไขได้เลย
โค้ชอาร์เน่อ พิสูจน์แล้วเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาว่าเขาเป็นกุนซือที่ดี สามารถส่งผลเชิงบวกต่อเกมจากม้านั่งสำรองได้ แต่การพลิกฟอร์มในช่วงที่ย่ำแย่นี้จะเป็นบททดสอบที่ยากที่สุดในอาชีพเฮดโค้ของเขา
2. โซโบซไล ควรเล่นแบ็กขวาต่อไปหรือไม่
จากกรณีที่ คอเนอร์ แบรดลี่ย์ และ เจเรมี่ ฟริมปง มีปัญหาบาดเจ็บไม่สามารถช่วยทีมได้ในช่วงเวลานั้น นั่นทำให้ อาร์เน่อ จำเป็นต้องจับ โดมินิค โซโบซไล ซึ่งกำลังอยู่ในฟอร์มที่ยอดเยี่ยม ขยับลงมาเติมเต็มตำแหน่งแบ็กขวา
ตอนนี้ "โซโบ" ทำหน้าที่เป็นฟูลแบ็กจำเป็น 5 เกมในฤดูกาลนี้ และฟอร์มก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย ขณะที่ เคอร์ติส โจนส์ ก็สามารถลงมาเติมเต็มตำแหน่งแดนกลางได้ดี นั่นจึงทำให้ทีมไม่เสียสมดุลมากนัก
อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ควรใช้ โซโบซไล ในตำแหน่งที่ทำให้เขาแสดงศักยภาพได้อย่างเต็มที่นั่นก็คือกองกลาง และใช้งาน โจ โกเมซ ลงเล่นตำแหน่งแบ็กขวา หรือเซนเตอร์ฮาล์ฟแทน อิบราฮิม่า โกนาเต้ แต่สุดท้าย กุนซือชาวดัตช์ ไม่เลือกใช้งานเขาโดยให้เหตุผลว่านักเตะไม่ได้ซ้อมกับทีมตลอดสัปดาห์ และไม่พร้อมลงตัวจริง!
ขณะที่ คาลวิน แรมซี่ย์ แบ็กขวาแท้ๆ ก็เพิ่งมีชื่ออยู่ในทีมในเกมพรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2022 นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ อาร์เน่อ ยังคงเลือกใช้งาน โซโบซไล ในตำแหน่งดังกล่าวต่อไป
3. ทำไมเลือก อีซัค ลงสนาม ?
นับตั้งแต่ที่เซ็นสัญญามาจาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด อยากจะบอกว่า อเล็กซานเดอร์ อีซัค ได้ลงสนามแค่ 500 นาที และยิงได้เพียง 1 ประตู ถือว่าเป็นผลงานที่น่าผิดหวังเมื่อเทียบกับเม็ดเงิน 130 ล้านปอนด์ (ราว 5,720 ล้านบาท) ที่ทุ่มลงไป
ในแมตช์ที่แพ้ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ 0-3 สตาร์ทีมชาติสวีเดน ได้สัมผัสบอลแค่ 14 ครั้ง และยิงไม่ตรงกรอบ 1 ครั้ง นั่นแสดงให้เห็นว่าเขายังไม่สามารถประสานงานร่วมกับเพื่อนร่วมทีมได้เลย
ผลงานที่ไร้ประสิทธิภาพแบบนี้ แต่ อาร์เน่อ ยังคงไว้วางใจ อีซัค ทั้งๆ ที่ อูโก้ เอกิติเก้ กำลังอยู่ในช่วงฟอร์มเข้าฝัก และสมควรที่จะได้รับโอกาสลงเป็นตัวจริงมากกว่าในเวลานี้
มันคงจะเป็นเรื่องที่ฉลาดกว่าถ้าให้ เอกิติเก้ ลงเป็นตัวจริงในเกมกับ ฟอเรสต์ แล้วค่อยส่ง อีซัค ลงเล่นกับ พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
แต่มาพูดตอนนี้คงไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นมาลุ้นกันว่าในเกมวันพุธนี้ โค้ชอาร์เน่อ จะใช้ เอกิติเก้ หรือ อีซัค !!??
4. แฟนบอลรอนานกว่าจะได้เข้าสนาม
เมื่อทีมอยู่ในฟอร์มที่ย่ำแย่แล้ว การที่แฟนบอลต้องต่อคิวนานถึง 45 นาที และพลาดในช่วงเริ่มเกม ยิ่งทำให้บรรยากาศรอบ ๆ แอนฟิลด์ยิ่งแย่ลงไปอีก
ด้วยมาตรการรักษาความปลอดภัยใหม่ นั่นก็คือการตรวจค้นผู้เข้าชมทุกคนเป็นรายบุคคลเมื่อเข้าสู่แอนฟิลด์ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มาตรการนี้ทำให้แฟนบอลหลายคนพลาดเข้าชมในช่วงเริ่มเกม เนื่องจากความล่าช้าที่บริเวณประตูทางเข้า
แม้แฟนบอลหลายคนจะมาถึงสนามก่อนเวลาเพื่อหวังหลีกเลี่ยงคิวยาว แต่พวกเขาซึ่งยอมจ่ายค่าตั๋วแพงลิ่วก็ยังต้องพบกับการต่อแถวที่ยาวนอกสนามอยู่ดี แม้ความปลอดภัยจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่สโมสรต้องจัดเจ้าหน้าที่เพิ่มเพื่ออำนวยความสะดวกให้แฟนบอล และไม่ทำให้พวกเขาต้องหงุดหงิดเมื่อเข้าไปอยู่บนอัฒจันทร์
5. จำเป็นต้องเปลี่ยนเป้าหมาย
ตอนนี้ลิเวอร์พูลอยู่อันดับ 12 ในตารางคะแนนพรีเมียร์ลีก และตามหลังจ่าฝูงอย่าง "ไอ้ปืนใหญ่" อาร์เซน่อล ถึง 11 คะแนน ทำให้ความหวังในการป้องกันแชมป์แทบจะดับสูญแล้ว
ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า ในขณะนี้เก็บได้เฉลี่ยประมาณ 2.35 คะแนนต่อเกม ซึ่งหากรักษาอัตราเฉลี่ยแบบนี้ต่อไป พวกเขาจะจบฤดูกาลด้วยการเก็บแต้มได้ถึง 89 คะแนน
หาก ลิเวอร์พูล อยากทำคะแนนได้ในจำนวนนี้ พวกเขาจะต้องเก็บแต้มประมาณ 2.7 คะแนนต่อเกม และเสียแค่ 7 แต้มเท่านั้นในช่วงที่เหลือของฤดูกาล ซึ่งดูเหมือนเป็นไปได้ยากมาก
จากสถานการณ์ในตอนนี้ทำให้ "หงส์แดง" ต้องเบนเข็มไปที่การจบอันดับท็อปโฟร์ ขณะที่การไล่ล่าความสำเร็จใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เมื่อเทียบฟอร์มในเวลานี้
จริงๆ แล้ว อาร์เน่อ เคยออกมายอมรับว่าถ้าหากเลือกระหว่างความสำเร็จในแชมเปี้ยนส์ ลีก กับ พรีเมียร์ลีก เขาเลือกที่จะชูโทรฟี่ "บิ๊กเอียร์" ในฤดูกาลนี้
กระนั้นฟุตบอลไม่ใช่บัญญัติไตรยางค์ จึงไม่สามารถเลือกหรือกำหนดได้ตามใจตัวเอง เพราะถ้าหากพวกเขาไม่สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาได้ ก็อย่างฝันว่าจะประสบความสำเร็จได้ !!
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄