ไม่มี กาเบรียล ไม่มี วิคเตอร์ โยเคเรส ไม่มี มาร์ติน โอเดการ์ด
ทว่ารูปเกมที่ปรากฏก็เหมือนว่า อาร์เซน่อล กำลังเปิดบ้านต้อนรับทีมจากลีกวันยังไงยังงั้น ทั้งที่มันมีศักดิ์ศรีค้ำคอในนาม "North London Derby" ซึ่งเป็นเกมที่ทางอาคันตุกะเฝ้ารอคอยในทุกๆ ปี
"พวกมันถือกำเนิดจากลอนดอนตอนใต้ พวกมันไม่ใช่ทีมจากตอนเหนือแท้จริง พวกมันควรไสหัวกลับไป"
แฟน สเปอร์ส ที่ใบหน้าแดงก่ำเคยระเบิดอารมณ์ไว้ ปูมประวัติศาสตร์บันทึกไว้เช่นนั้น มันก็เลยทำให้เกมคู่นี้เจอกันมักดุเดือดโดยเฉพาะบรรยากาศนอกสนาม ตำรวจต้องขนกำลังมาเป็นร้อยเพื่อรักษาการ แน่นอนเมื่อวันอาทิตย์ถ้าสิ่งที่เกิดในสนามได้สักครึ่งก็คงจะดี
แต่นี่ยังไม่ถึงนาที 80 เลย มองไปทางทีมเยือนก็เต็มไปด้วยเก้าอี้ว่าง ใช่... ก็เข้าใจได้ว่ามันไม่สามารถทนดูได้อีกต่อไปกับสภาพของทีมตัวเองที่เจอคู่อริตัวฉกาจกำลังไล่ยำ ตอนนั้นสกอร์ขาดลอยไปแล้ว 4-1
ค่า xG สะท้อนทุกอย่างครับ เมื่อตลอดเกม สเปอร์ส ทำได้แค่ 0.07 เท่านั้น
จากนี้ไปน่าจับตาอนาคตของ โธมัส แฟร้งค์ ถึงจะเพิ่งลากกระเป๋าเข้ามาไม่กี่เดือน แต่ในโลกของฟุตบอลทุกอย่างเป็นไปได้หมด
ตรงกันข้ามกับอีกฝั่งที่ตอนเกมจบก็มีการเปิดเพลงฉลองกัน กองเชียร์หลายคนโยกไปตามจังหวะ มันเร็วเกินไปแน่ที่จะด่วนสรุปว่าซีซั่นนี้ถ้วยแชมป์จะย้ายมาประทับที่ เอมิเรตส์ ซะที ภายหลังจบพระรองมาสามปีติด ถึงกระนั้นเอาเหตุผลต่างๆ มาวิเคราะห์ก็ต้องมองว่าแนวโน้มมีสูงมาก
เกมกับสเปอร์สที่ทาง แฟร้งค์ ปรับมาใช้แท็กติกแผงหลังห้าคน โดยในจังหวะรุกปรับเป็น 3-4-3 (คล้ายสมัยเขาคุม เบรนท์ฟอร์ด และเคยชนะปืนใหญ่มาแล้ว) ก็เห็นได้เลยว่า มิเกล อาร์เตต้า ก็เตรียมแผนสำรองมาแก้
เจอกำแพงมนุษย์วางเรียงต้องทำอย่างไร?
ประตูนำ 1-0 แสดงถึงไอเดียนั้นครับ เมื่อ มิเกล เมริโน่ ยกบอลข้ามแผงหลังไก่ไปให้ เลอันโดร ทรอสซาร์ หลุดไปตวัดด้วยซ้ายเข้าไป... นี่แค่จุดเดียวที่บ่งชี้ว่าอาร์เซน่อลยกระดับขึ้นจากปีที่ผ่านมา
ไหนเรื่องขุมกำลังแนวลึกอีก ขาดแกนหลักไปสามคนทั้งหลัง, กลาง และหน้า ก็ไม่ส่งผล ตัวที่มีทดแทนได้ บนม้านั่งก็ยังออปชั่นที่ส่งมาเปลี่ยนเกมได้อีกยามคับขัน เช่น กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ หรือว่า โนนี่ มาดูเอเก้
จินตนาการตอนที่อาร์เตต้าได้ตัวที่เจ็บหายกลับมาครบดูละกัน...
ก่อนนี้ อาร์เซน่อล ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับกับเซตพีซ เสียยาก ซีซั่นนี้ก็โดนไปแค่ 6 ลูก น้อยสุดของลีก ที่ปรับปรุงจากเดิมเป็นเกมรุกจาก 12 เกมทะลวงไปแล้ว 24 ลูก สูงสุดเท่ากับ แมนฯ ซิตี้
การเสริมตัวตอนซัมเมอร์เหมือนการต่อจิกซอว์จนสมบูรณ์ ไม่ใช่แค่เติมความลึกให้ทีมแต่ยังเพิ่มคุณภาพด้วย
60 ล้าน ที่จ่ายให้ คริสตัล พาเลซ แลกกับ เอเบเรชี่ เอเซ่ กำลังส่งผลงอกงาม ซัดแฮตทริกในนอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ โดยถือเป็นคนแรกที่ทำได้นับแต่ อลัน ซันเดอร์แลนด์ ปี 1978
ในตารางนำฝูงทิ้งอันดับสอง เชลซี ไป 6 แต้ม กับเกมที่ยังเหลืออีก 28 นัด ย่อมถือว่าไม่ได้เยอะ แต่ก็ต้องวิเคราะห์ด้วยว่าทีมสิงโตสีน้ำเงินคงเส้นคงวาแค่ไหน สภาพทีมแข็งแกร่งขนาดไหนในระยะยาว
อย่างเดียวกับ แมนฯ ซิตี้ ของ เป๊ป ที่ยังทำแต้มตกง่ายไป ส่วนแชมป์เก่า ลิเวอร์พูล นั้นก็ถือว่าหลุดวงโคจรไปห่างไปไกลแล้ว
มีตัวอย่างที่ผ่านๆ มา ทีมที่มีคุณสมบัติก้าวไปเขย่าโทรฟี่ก็นอกจากตัวเองเก่งแล้ว ก็ต้องได้ประโยชน์เอื้อจากทีมคู่แข่งพลาดกันเองด้วย
มันจะมีอะไรได้บ้างอีก... ที่หยุดอาร์เซน่อลในซีซั่นนี้
"ไก่ป่า"