หากมีคนบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีลุ้นคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาลนี้ คงทำให้หลายคนหัวเราะเย้ยหยัน แต่สำหรับตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้ หลัง "ผีแดง" กำลังอยู่ในฟอร์มที่ร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา
นับตั้งแต่ รูเบน อโมริม เข้ามากุมบังเหียนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ฟอร์มการเล่นของทีมก็ลุ่มๆ ดอนๆ ขณะที่ช่วงต้นฤดูกาลนี้ผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ยังไม่กระเตื้อง และทำให้ชื่อของกุนซือเคราดกเป็นหนึ่งในคนที่จะโดนปลดจากตำแหน่ง
อย่างไรก็ตาม อโมริม สามารถยกระดับฟอร์มการเล่นของ "ปีศาจแดง" ได้ดีอย่างต่อเนื่อง และนักเตะใหม่อย่าง ไบรอัน เอ็มเบอโม่, มาเตอุส คุนญ่า, เซนเน่อ ลัมเมนส์ และ เบนยามิน เชชโก้ เล่นได้เข้ากับระบบทำให้ทีมมีผลงานติดลมบนอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นหากจะบอกว่า แมนฯ ยูฯ มีลุ้นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีในซีซั่นนี้ คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง แล้วมีปัจจัยอะไรที่ทำให้หลายคนเริ่มมองว่า "ผีแดง" สามารถผลิตผลงานจนประสบความสำเร็จสมัยแรกนับตั้งแต่ปี 2013 ล่ะ งานนี้ต้องไปพิจารณากันได้เลย
1. สถิติไม่มีอิทธิพลในการลุ้นแชมป์
แม้ว่าสถิติจะเป็นเรื่องน่าสนใจแต่ตัวเลขเหล่านี้ไม่ควรมีอิทธิพลต่อการทำนายผลการแข่งขันพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ การที่ อาร์เซน่อล นำจ่าฝูงด้วยการมี 26 คะแนนนำ แมนฯ ยูฯ อันดับ 7 ถึง 8 แต้ม หลังลงเล่นไปแล้ว 11 เกมในลีก
อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในภาพรวม เพราะในประวัติศาสตร์ 16 ซีซั่นจาก 33 ฤดูกาล ทีมที่รั้งจ่าฝูงหลังผ่านไป 11 เกมมักจะคว้าแชมป์ นั่นหมายความว่า มีถึง 17 ครั้งที่ทีมที่เป็นจ่าฝูงหลังผ่าน 11 เกม ไม่ได้กลายเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก
ที่สำคัญ อาร์เซน่อล เป็นทีมที่พลาดถึง 5 ครั้ง แถมสโมสรล่าสุดที่ชวดแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีจากการนำจ่าฝูงหลังผ่านไป 11 แมตช์นั่นก็คือลูกทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า !!
2. ช่องว่างระหว่างคะแนนไม่มากนัก
อย่างที่เกริ่นเอาไว้ในข้อแรกว่าสถิติไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ ต่อการกำหนดชะตาของแชมป์ฤดูกาลนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับสถิติเหล่านี้นั่นก็การคาดรั้งจ่าฝูงหลังผ่านไป 11 เกมไม่ได้หมายความว่าจะประสบความสำเร็จโดยอัตโนมัติ
หนึ่งในประเด็นที่สนับสนุนเรื่องนี้ก็คือความห่างของคะแนนระหว่างจ่าฝูงกับทีมอื่นๆ บนหัวตารางที่ไม่ได้ไกลกันมากนัก โดยทีมแชมป์ที่เคยตามหลังมากที่สุดหลังผ่านไป 11 เกมคือ 8 คะแนน ซึ่งเกิดขึ้นมาแล้วเพียงสองครั้ง
สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทีมที่มี 18 คะแนนในปัจจุบันยังไม่สามารถตัดออกจากการลุ้นแชมป์ได้ และเหตุผลเดียวกันนี้ทำให้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ยังไม่ถูกตัดออกจากการลุ้นแชมป์เช่นกัน
3. โปรแกรมไม่แน่นนักเตะไม่ล้า
ด้วยการที่ "ผีแดง" ตกรอบศึกคาราบาว คัพ ไปตั้งแต่ไก่โห่ และไม่มีโปรแกรมฟุตบอลถ้วยยุโรป นั่นทำให้ลูกทีมของอโมริม มีสมาธิจดจ่อกับ 10 เกมพรีเมียร์ลีกเพียงอย่างเดียวในช่วง 7 สัปดาห์ข้างหน้า
ยิ่งไปกว่านั้นอันดับของคู่แข่งทั้ง 10 แมตช์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ โดยมีอันดับ 13, 10, 18, 20, 9, 6, 14, 20, 16, 17 ที่สำคัญ แมนฯ ยูฯ จะเจอ วูล์ฟส์ ถึง สองครั้งในสามสัปดาห์ของเดือนธันวาคม ส่วนเกมเยือน 5 นัดมีเพียงแค่แมตช์เดียวเท่านั้นที่ต้องเดินทางไกล
พวกเขามีโปรแกรมต้องออกไปเยือน คริสตัล พาเลซ ตามด้วยเกมเยือน วูล์ฟส์, แอสตัน วิลล่า, ลีดส์ ยูไนเต็ด และ เบิร์นลี่ย์ ซึ่งหากพวกเขาได้ผลการแข่งขันที่ต้องการก็จะเป็นของขวัญชิ้นโบว์แดงให้กับสาวก "เร้ด อาร์มี่" ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส และปีใหม่
4. ฟอร์มโดดเด่น-แข้งคีย์แมนผลงานดี
เป็นเรื่องปกติที่ แมนฯ ยูไนเต็ด จะได้เปรียบจากการที่ไม่มีเกมฟุตบอลถ้วยยุโรป และ คาราบาว คัพ เพราะนั่นหมายความว่านักเตะตัวหลักของทีมจะได้พักร่างกายอย่างเต็มที่ ซึ่งทำให้สามารถผลิตฟอร์มการเล่นที่โดดเด่นออกมาได้
ช่วงที่ผ่านมา นักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด ทำผลงานได้อย่างคงเส้นคงวา โดยเฉพาะเกมรับที่เล่นได้อย่างเหนียวแน่น แม้จะมีผิดพลาดไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทีมเสียหายอะไรมากนัก
ที่สำคัญผู้เล่นใหม่อย่าง เอ็มเบอโม่ และ คุนญ่า สร้างผลกระทบในเชิงบวกกับทีมอย่างแท้จริง นอกจากนี้การเล่นที่แน่นอนของ ลัมเมนส์ ซึ่งแทบไม่ค่อยผิดพลาด ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ "ปีศาจแดง" แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ช่วง 2 เกมสุดท้ายก่อนพักเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน แมนฯ ยูฯ ทำผลงานไม่ค่อยดีนักเสมอ สเปอร์ส และ น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ แต่มันก็ทำให้พวกเขามีสถิติไม่แพ้ 5 เกมติดต่อกัน นั่นแสดงให้เห็นว่านักเตะเริ่มเชื่อมั่นในระบบของ อโมริม และมีความเชื่อว่าพวกเขาสามารถสู้ได้ทุกทีม ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับความสำเร็จ
5. ไม่กดดันเพราะโดนมองข้าม
บริษัทรับพนันถูกกฎหมายในอังกฤษ ให้ แมนฯ ยูฯ มีอัตราต่อรองคว้าแชมป์อยู่ระหว่าง 33-1 (แทง 1 จ่าย 33 ไม่รวมทุน) และ 50-1 (แทง 1 จ่าย 50 ไม่รวมทุน) ซึ่งดูเหมือนว่า "ผีแดง" แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะคว้าแชมป์
อย่างไรก็ตาม การที่ถูกมองเป็นม้านอกสายตา อาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับนักเตะ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะนั่นทำให้พวกเขาไม่ต้องกดดัน ในขณะที่ อาร์เซน่อล อาจจะกดดันมากขึ้น เพราะพวกเขาพลาดแชมป์ 3 ครั้งติดต่อกัน และการโดนยกให้เป็นเต็งหนึ่งยิ่งเพิ่งความเครียดเข้าไปอีก
สำหรับอีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือในอดีตมีสองทีมที่ตามหลัง 8 แต้มหลังผ่านไป 11 เกมแล้วสามารถพลิกสถานการณ์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ โดยทีมที่ทำสำเร็จครั้งล่าสุดก็คือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาล 2022/23
ดังนั้นสิ่งนี้ถือเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลดีกับ แมนฯ ยูไนเต็ด เพราะการที่ไม่โดนจับจ้องมากเกินไป ทำให้พวกเขาไม่ต้องกดดัน ขณะที่ทีมอย่าง อาร์เซน่อล, แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต้องแบกรับแรงกดดันมากกว่าหลายเท่า
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄