ลิเวอร์พูล แพ้ไแล้ว 7 เกมจาก 10 แมตล์หลังสุด และนั่นแสดงให้เห็นว่าแท็กติกของ อาร์เน่อ สล็อต ผิดพลาด แต่เคล็ดลับในการเรียกฟอร์มกลับคืนมาไม่ใช่เพียงแค่กลับไปใช้สิ่งที่เคยได้ผลในอดีต
หลังจากฟอร์มดีขึ้นชั่วคราว ลิเวอร์พูลก็กลับมาโดนวิจารณ์ว่ากำลังวิกฤติอีกครั้งในช่วงพักเบรกทีมชาติ เก้าเดือนหลังจากชัยชนะอันน่าตื่นตาตื่นใจ 2-0 ที่เอติฮัด โค้ชอาร์เน่อกลับเห็นทีมของเขาถูกทัพ "เรือใบสีฟ้า" โชว์ฟอร์มได้เหนือกว่าอย่างชัดเจนจนแพ้ 0-3 ที่สนามเดียวกัน
มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยากจะทำใจยอมรับ จากขุมกำลังเก่าที่เคยแข็งแกร่งกลายเป็นสะดุดกับขุมกำลังให้ที่สโมสรทุ่มเงินมหาศาล ผลงานที่โดดเด่นในเกมชนะ แอสตัน วิลล่า กับ เรอัล มาดริด ส่วนใหญ่ถูกมองว่าจากการใช้ผู้เล่นตัวจริงจากฤดูกาลที่แล้ว โดยเฉพาะสามประสานแดนกลาง
แล้วเหตุผลอะไรที่ทำให้แท็กติกของ ลิเวอร์พูล ล้มเหลวในช่วงต้นฤดูกาลนี้ และพวกเขาจะสามารถกลับมาสู่เส้นทางที่ถูกต้องได้หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่สาวก "เดอะ ค็อป" ต้องพิจารณาไปด้วยกัน
1. สิ่งที่เคยได้ผลแต่กลับใช้ไม่ได้ผล
"การควบคุมเกม" เป็นคำที่โดดเด่นในฤดูกาลเปิดตัวของโค้ชอาร์เน่อ แต่แม้ว่าคำนี้จะทำให้หลายคนจินตนาการถึงการจ่ายบอลช้าๆ ไปด้านข้าง แต่สิ่งที่ปรากฏจริงกลับไม่ใช่แบบนั้น
ลิเวอร์พูล เป็นเจ้าแห่งการควบคุมจังหวะเกม ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับบอล, การเพรสซิ่งสูง หรือการตั้งรับต่ำแบบเหนียวแน่น พวกเขากำหนดจังหวะเกมได้ตลอดทั้งการแข่งขัน สามารถปรับขึ้นลงตามต้องการ
ยกตัวอย่างเช่นแมตช์ชัยชนะ สเปอร์ส 6-3 พวกเขาไล่นำ 5-1 อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชะลอเกมลง แต่เมื่อ "ไก่เดือยทอง" ไล่มาเป็น 5-3 "หงส์แดง" ก็เร่งเกมขึ้นอีกครั้งและยิงประตูที่ 6 ทำให้ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
หนึ่งในวิธีปรับจังหวะที่เป็นเอกลักษณ์คือการใช้วิธี "ขึ้น-กลับ-ทะลุ" บอลจะถูกลำเลียงขึ้นไปอย่างช้าๆ ข้ามแนวรับเพื่อดึงแรงกดดันจากคู่แข่ง จากนั้นบอลผ่านไปยัง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ถอยต่ำลงมา และดึงกองหลังออกจากพื้นที่ ขณะที่เพื่อนร่วมทีมเริ่มวิ่งทะลุช่องว่างที่เขาสร้างขึ้น
2. เทรนต์, ร็อบโบ้ และ กราเฟนแบร์ก : การขาดหายไปส่งผลอย่างไร
การขาดหายไปของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ส่งผลกระทบกับความสามารถในการจ่ายบอลทะลุจากแนวรับของ ลิเวอร์พูล แถมการที่ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน โดนดร็อปยิ่งทำให้ "หงส์แดง" สูญเสียการผ่านบอลเด็ดๆ จากฟูลแบ็กทั้งสองฝั่ง
แม้ "ร็อบโบ้" จะทำผลงานได้ดีขึ้นและกลับมายึดตัวจริงได้อีกครั้ง แต่ด้วยอายุและระดับความฟิตของนักเตะไม่สามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้มั่นคงตลอดทั้งเกม และนั่นส่งผลให้เกมเล่นเกมรับและรุกทางฝั่งซ้ายด้อยประสิทธิภาพลง
การขาดการผ่านบอลจากริมเส้นที่แม่นยำส่งผลให้ อเล็กซานเดอร์ อีซัค และ อูโก้ เอกิติเก้ ที่มีทั้งความสูงและสัญชาตญาณหน้าเป้าขนานแท้ ก็ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ เพราะบอลไม่ถึงพวกเขา
ขณะที่แผงกลางจะเห็นได้ว่า กราเฟนแบร์ก ทำผลงานไม่โดดเด่นเหมือนเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา จังหวะการครองบอล, การพลิกเกม และการจ่ายบอลทะลุแนวรับคู่แข่งแทบไม่มีให้เห็นในซีซั่นนี้ แต่ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็คือการยิงประตู
การที่ไม่มี เทรนต์ ทำให้ทีมขาดจังหวะทีเด็ดทีขาดในเรื่องการเปิดบอล, โรเบิร์ตสัน ฟอร์มไม่นิ่งเหมือนเดิม และ กราเฟนแบร์ก ไม่สามารถผลิตผลงานได้อย่างที่คาดหวัง นั่นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่สามารถแสดงผลงานชั้นยอดออกมาได้เต็มที่
3. คู่แข่งจับทางสไตล์การเล่น ลิเวอร์พูล ได้
ตอนนี้ทีมคู่แข่งรู้แล้วว่าการที่จะสู้กับ ลิเวอร์พูล ในแดนบนคงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นพวกเขาเลือกที่จะไม่ใช้แท็กติกแบบนี้อีกแล้ว โดยเน้นการเล่นที่เหนียวแน่นและรอจังหวะตัดบอลหรือการขึ้นเกมที่ผิดพลาดของ "หงส์แดง" จากนั้นก็สวนกลับ
แท็กติกของลิเวอร์พูลที่เน้นให้แนวรับดันขึ้นสูงจึงมักจะโดนคู่แข่งโจมตีด้วยจังหวะการสวนกลับเร็ว หรือการเล่นบอลโยนยาว ซึ่งนั่นทำให้ทีมต้องเจอกับสถานการณ์ยากลำบากในการรับมือ และส่งผลให้เสียระบบทุกครั้งที่เจอกับการเล่นแบบนี้
การที่สโมสรตัดสินใจซื้อ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ เข้ามาเพราะหวังจะใช้พรสวรรค์ในฐานะเพลย์เมกเกอร์ของนักเตะจัดการกับแนวรับคู่แข่งที่ยืนต่ำ แต่กลายเป็นว่า จอมทัพชาวเยอรมัน ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้ แถมยังโดนคู่แข่งจับทางการเล่นได้ด้วย ยิ่งทำให้เจ้าตัวต้องเจอกับงานยากลำบาก และส่งผลไปถึงฟอร์มโดยรวมของ "เดอะ เร้ดส์" ด้วย
แนวคิดของโค้ชอาร์เน่อ ที่จะให้ทีมเล่นแบบหมุนเวียนตำแหน่งอย่างลื่นไหลภายในโครงสร้างการโจมตีที่หลากหลายเพื่อทำให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามสับสนและสร้างความได้เปรียบในกรอบเขตโทษ แต่ไอเดียดังกล่าวยังไม่สำฤทธิ์ผล และนั่นจึงเป็นที่มาของผลงานสะดุด ติดๆ ขัดๆ ของทีมในเวลานี้
4. เน้นการเจาะแนวรับคู่แข่งที่ยืนต่ำแต่ไม่สำเร็จ
ลิเวอร์พูล เป็นทีมที่สร้างโอกาสได้มากกว่าทีมอื่นๆ ในลีก แต่ไม่ได้หมายความว่าแท็กติกแบบนี้ได้ผลจริงๆ เพราะประตูของ "หงส์แดง" ส่วนใหญ่เกิดจากการส่งผู้เล่นจำนวนมากขึ้นไปโจมตีตอนที่ตามหลังในช่วงท้ายเกม
บ่อยครั้งที่ ลิเวอร์พูล ความพยายามเจาะแนวรับคู่แข่งที่ยืนต่ำแต่ล้มเหลว และการส่งบอลพลาดแค่ครรั้งเดียวก็ทำให้โดนโต้กลับและบางครั้งก็เสียหายจนถึงขั้นโดนเจาะตาข่าย หนึ่งในเหตุผลที่เป็นแบบนั้นเพราะทีมเปิดพื้นที่เยอะมากจึงทำให้คู่แข่งได้ประโยชน์จากจุดนี้
ลองนึกภาพในเกมที่เสียประตูที่สองให้กับ เบรนท์ฟอร์ด (แพ้ 2-3) พวกเขาสามารถเล่นชิงหนึ่ง-สองเจาะเข้าไปทำประตูได้แบบสบายๆ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้ทีมคู่แข่งเห็นจุดอ่อนของทีม และพยายามเล่นเกมรับให้เหนียวแน่น เพื่อรอจังหวะตัดบอลหรือการเล่นที่ผิดพลาดในเกมรุกของ "หงส์แดง" และจัดการโจมตีทันที
นี่คือสถานการณ์ที่แฟนบอลลิเวอร์พูล จะได้เห็นอยู่บ่อยๆ ในฤดูกาลนี้ และโค้ชอาร์เน่อ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ และการเล่นเกมรับที่จะไม่เปิดพื้นที่เยอะ ซึ่งเป็นจุดที่คู่แข่งจ้องเล่นงานพวกเขาตลอด
5. แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง ?
ลิเวอร์พูลพยายามเป็นฝ่ายเล่นเกมรุกโดยปรับเปลี่ยนรูปแบบการเล่นในช่วงซัมเมอร์ แต่การเล่นแบบเน้นครองพื้นที่นี้ทำให้คู่แข่งสามารถกำหนดจังหวะของเกมได้ ไม่ใช่ "หงส์แดง" ! และนี่คือปัญหาที่ต้องแก้ให้ได้
คู่แข่งรู้ว่า ลิเวอร์พูล ตั้งใจจะเล่นตามวิธีเฉพาะนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถปรับตัวและพยายามที่จะทำให้เกมอยู่ในจังหวะการเล่นของพวกเขา ผลกระทบนี้มักทวีคูณเมื่อ ลิเวอร์พูล เสียประตูแรกไปก่อน
ฤดูกาลนี้ เรามักเห็นทีมของโค้ชอาร์เน่อเล่นเกมตามที่คู่แข่งบ่อยมาก ขณะเดียวกันก็ต้องพยายามเร่งเครื่องเพื่อทวงประตูคืนและกลับสู่เกม ซึ่งทำให้นักเตะเสียพลังงานเยอะมาก และบางแมตช์ก็เสียสมาธิรวมทั้งเสียจังหวะจนเปิดช่องว่างให้คู่แข่งโจมตี
แม้ว่ามีบางเกมที่ ลิเวอร์พูล สามารถกำหนดจังหวะของเกมได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นในศึกยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ได้แก่แมตช์กับแอตเลติโก มาดริด, ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต และ เรอัล มาดริด ซึ่งพวกเขาชนะเกมเหล่านั้น
ขณะที่ในการเล่นศึกพรีเมียร์ลีก ยกเว้นแมตช์ชนะ แอสตัน วิลล่า ซึ่งยึดติดกับแท็กติกของตัวเองจนกลายเป็นเล่นตามเกมของลิเวอร์พูล ทัพ "หงส์แดง" แทบไม่สามารถควบคุมคู่แข่งได้เลย
ถ้าหาก ลิเวอร์พูล ต้องการเรียกฟอร์มเก่งกลับมา พวกเขาจำเป็นต้องหารูปแบบการเล่นที่ไม่เพียงเหมาะกับทีมของตัวเอง แต่ยังเหมาะกับพรีเมียร์ลีกด้วย เพราะหากทีมสามารถกำหนดจังหวะของเกมโอกาสชนะย่อมมีสูงกว่า
แน่นอนว่า ลิเวอร์พูล มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้เล่นและแท็กติกในฤดูกาลนี้ ขณะเดียวกันคู่แข่งรู้วิธีการรับมือกับพวกเขา นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ "หงส์แดง" ไม่สามารถกลับไปควบคุมจังหวะเกมได้ง่ายๆ
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄