การที่ จอร์จี้ มามาร์ดาชวิลี่ ได้รับโอกาสลงเฝ้าเสาตัวจริงให้กับ ลิเวอร์พูล ถือเป็นเรื่องที่เร็วกว่าการคาดการณ์เอาไว้ เนื่องจาก อลีสซง เบ็คเกอร์ มีปัญหาบาดเจ็บ แต่แน่นอนว่านักเตะพร้อมเต็มที่ที่จะรับมือกับตำแหน่งมือ 1 ของทีม
นายทวารชาวจอร์เจีย ย้ายจาก ดินาโม ทบิลิซี่ มาเฝ้าเสาให้ บาเลนเซีย ด้วยค่าตัวแค่ 850,000 ยูโร (ราว 33.15 ล้านบาท) เมื่อปี 2021 ซึ่งตอนนั้นเจ้าตัวมาในฐานะมือ 3 เท่านั้นแต่ด้วยวิกฤติโกลตัวหลักบาดเจ็บทำให้เขาจำเป็นต้องก้าวขึ้นมาเป็นมือ 1 ของทัพ "ไอ้ค้างคาว"
จากโอกาสในตอนนั้นกลายเป็นว่าทำให้ มามาร์ดาชวิลี่ ยึดตำแหน่งถาวร และฟอร์มเหนียวหนึบทั้งกับต้นสังกัดและทีมชาติจอร์จี้ ทำให้ ลิเวอร์พูล ตัดสินใจคว้าตัวมาร่วมทัพด้วยเม็ดเงิน 29 ล้านปอนด์ (ราว 1,276 ล้านบาท) แต่ด้วยการที่ตอนนั้นทีมมี อลีสซง เป็นมือ 1 และ ควีวิน เคลเลเฮอร์ เป็นมือ 2 ทำให้เขาถูกส่งไปเฝ้าเสาแบบยืมตัวกับ บาเลนเซีย เมื่อซีซั่นที่ผ่านมา
สำหรับฤดูกาลนี้ มามาร์ดาชวิลี่ กลับมาอยู่กับต้นสังกัดแม่ และได้โอกาสลงตัวจริงตั้งแต่ต้นซีซั่นเพื่อทำหน้าที่แทน อลีสซง ที่บาดเจ็บกล้ามเนื้อหลังต้นขา โดยการรับบทบาทมือ 1 ของเขาทำให้ "หงส์แดง" ได้เรียนรู้อะไรมากมายตลอดระยะเวลา 7 เกมที่ทีมไม่มี "พ่อหมี"
1. การได้โอกาสลงตัวจริงตั้งแต่ต้นซีซั่น
การจากไปของ เคลเลเฮอร์ ในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ เนื่องจากผู้รักษาประตูชาวไอร์แลนด์ เติบโตเกินกว่าบทบาทแค่มือ 2 และสมควรได้เป็นตัวจริงที่สโมสรอื่น
ขณะที่ มามาร์ดาชวิลี่ ถูกคาดหมายว่าคงต้องนั่งเป็นยางอะไหล่ในซุ้มม้านั่งสำรองสักพักใหญ่ๆ และซ้อมเคียงข้าง อลีสซง ไปเรื่อยๆ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จากนั้นก็คอยเฝ้าดู "พ่อหมี" โชว์ลีลาในสนาม
อย่างไรก็ตาม อาการบาดเจ็บของ อลีสซง ทำให้เขาต้องพลาดลงเฝ้าเสาถึง 8 เกม นั่นจึงเป็นโอกาสที่ "มามาร์" ได้ลงทำหน้าที่เฝ้าเสาให้กับทีมชุดใหญ่ ขณะที่ เฟร็ดดี้ วู้ดแมน ลงสนามตัวจริงในเกมคาราบาว คัพ ซึ่งเพิ่งตกรอบด้วยฝีเท้าของ คริสตัล พาเลซ
กระนั้นหลังจบช่วงพักเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน คาดว่า อลีสซง คงน่าจะใกล้ฟิตเต็มที่เพื่อกลับมาเป็นมือ 1 ของทีมในเกมเยือน น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ วันที่ 22 พ.ย.นี้ แต่การที่ มามาร์ดาชวิลี่ ได้รับบทบาทตัวสำรองเป็นผู้รักษาประตูตัวจริงนั้น เป็นบทเรียนที่มีคุณค่า ไม่ใช่เพียงสำหรับตัวนักเตะเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้คนภายในลิเวอร์พูลและแฟนบอลของสโมสรด้วย
สำหรับการรับบทมือ 1 ของ "มามาร์" ฟอร์มยังขึ้น ๆ ลง ๆ โดย ลิเวอร์พูล แพ้ไป 4 จาก 7 นัดหลังจากที่ โกลชาวบราซิเลียน บาดเจ็บ เสียไป 11 ประตู และเก็บคลีนชีตได้เพียง 2 ครั้ง แต่ก็มี สัญญาณที่น่าชื่นชมหลายอย่าง
2. สถิติการเซฟของ มามาร์ดาชวิลี่
หนึ่งสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนจาก นายทวารทีมชาติจอร์เจีย ก็คือเขาเป็ผู้รักษาประตูที่ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมากๆ
มามาร์ดาชวิลี่ เซฟได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมที่พบกับ เบรนท์ฟอร์ด และ แอสตัน วิลล่า นอกจากนี้ยังโชว์ความยอดเยี่ยมในการเซฟจุดโทษของ เออร์ลิง ฮาลันด์ แม้สุดท้ายทีมจะแพ้ยับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 0-3 ก็ตาม
นอกจากนี้ นายด่านชาวจอร์เจีย ยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในบทบาทสวีปเปอร์-คีปเปอร์ (sweeper-keeper) ซึ่งถือเป็นคุณสมบัติสำคัญสำหรับผู้รักษาประตูที่ต้องทำงานอยู่หลังแนวรับที่ดันขึ้นสูงของ "หงส์แดง"
จากข้อมูลของ FBref เว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลการเล่นต่างๆ ระบุว่า มามาร์ดาชวิลี่ รั้งอันดับ 6 ของผู้รักษาประตูพรีเมียร์ลีกในการทำหน้าที่เล่นเกมรับนอกเขตโทษ (1.8 ครั้งต่อ 90 นาที) และอันดับ 5 สำหรับระยะเฉลี่ยที่เขาทำหน้าที่ออกมาเล่นเกมรับ (16.8 หลา)
ขณะที่เรื่องที่น่ากังวลนั่นก็คือความสามารถในการใช้เท้าเล่นบอลของเขาตั้งแต่สมัยอยู่ที่บาเลนเซีย แต่กลับมันน่าประหลาดใจที่ผลงานของเขาเป็นไปในเชิงบวกในเรื่องการใช้เท้าควบคุมบอลได้อย่างมั่นใจ
อย่างไรก็ตาม การเล่นบอลด้วยเท้าของ "มามาร์" เป็นจุดที่ ลิเวอร์พูล จำเป็นต้องปรับตัว โดยเฉพาะเพื่อนร่วมทีมที่บางครั้งทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงด้วยการส่งบอลไปที่เท้าขวาที่ไม่ค่อยถนัดของเขา
3. การผ่านบอลสั้น-ยาวได้อย่างแม่นยำ
แม้ว่าการส่งบอลส่วนใหญ่ของ มามาร์ดาชวิลี่ จะเน้นการส่งบอลสั้น ซึ่งมีผู้รักษาประตูเพียง 5 คน รวมถึง อลีสซง ที่มีค่าเฉลี่ยการส่งบอลยาวต่ำกว่า นายด่านชาวจอร์เจีย (30.6 หลา) กระนั้นเมื่อเจ้าตัวต้องเปิดบอลยาวก็ถือว่าแม่นยำน่าประทับใจ
ในบรรดาผู้รักษาประตูตัวจริงของแต่ละทีม มามาร์ดาชวิลี ไม่ติดกลุ่มท็อป 5 ของนายทวารที่เปิดบอลยาว (40 หลา หรือมากกว่านั้น) สำเร็จ ด้วยสถิติ 32.2 เปอร์เซนต์ โดย เคลเลเฮอร์ ครองอันดับหนึ่งที่ 38.9 เปอร์เซนต์ และ อลีสซง อยู่ในอันดับสามที่ 36.7 เปอร์เซนต์
ส่วน ดาบิด ราย่า จอมหนึบของ อาร์เซน่อล และ โรบิน โรฟส์ นายทวารซันเดอร์แลนด์ (ทั้งคู่ทำได้ 5 ครั้ง) เป็นโกลในพรีเมียร์ลีกที่การสร้างโอกาสยิงประตู (Shot-Creating Actions - SCA) -มากกว่ามามาร์ดาชวิลี่ ซึ่งติดหนึ่งในห้านายทวารที่สร้างโอกาสยิงได้สามครั้ง รวมถึง เคลเลเฮอร์ ด้วย
อย่างไรก็ตามมีเพียงแค่ อลีสซง, เคลเลเฮอร์ และ เอมี่ มาร์ติเนซ โกล "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า เท่านั้นที่สถิตเป็นผู้รักษาประตูที่สร้างโอกาสในการยิงประตูสำเร็จ (Goal-Creating Actions - GCA)
4. ปรับตัวกับการคืนบอลให้โกลถนัดเท้าซ้าย
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เกี่ยวกับการปรับตัว เพราะจริงๆ แล้วหากย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 2004/05 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายที่ เจอร์ซี่ย์ ดูเด็ค ทำหน้าที่เป็นมือ 1 ของทีมที่ถนัดเท้าซ้าย และหลังจากนั้นก็ไม่มีอีกเลย
สำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ในทีมชุดปัจจุบัน มักส่งบอลไปที่เท้าขวาข้างถนัดของ อลีสซง, เคลเลเฮอร์ หรือแม้แต่ อาเดรียน จนเป็นเรื่องเคยชินไปแล้ว ขณะที่นักเตะที่ส่งบอลคืนหลังให้ผู้รักษาประตูบ่อยที่สุดอย่าง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็เคยทำแบบเดียวกันกับ ซิมง มิโญเล่ต์ และ ลอริส คาริส มาแล้วก่อนหน้านี้
กระนั้นสิ่งเหล่านี้ถือเป็นปัญหาเรื่องการปรับตัวในช่วงแรก และโดยรวมแล้ว มามาร์ดาชวิลี่ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นโกลที่สามารถก้าวเข้ามาแทนที่ อลีสซง ได้เมื่อจำเป็น หรือเป็นตัวแทนของ "พ่อหมี" ในอนาคตได้เลย
แน่นอนว่ามีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่าง อลีสซง และ มามาร์ดาชวิลี่ ดังนั้นมันอาจไม่ยุติธรรมที่จะเปรียบเทียบทั้งสอง เพราะผู้รักษาประตูชาวบราซิลถือได้ว่าเป็นหนึ่งในนายทวารที่ดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร หากไม่ใช่หมายเลข 1 เขาก็ยังอยู่ในลำดับต้นของ "หงส์แดง"
"พ่อหมี" สร้างชื่อในพรีเมียร์ลีกเอาไว้แล้ว และแม้จะอายุ 33 ปี เขาก็ยังเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดในโลก ดังนั้นการเปรียบเทียบกับนายทวารที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ "เดอะ เร้ดส์" จึงเป็นเรื่องทำได้ยาก
5. เตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ที่ไร้ อลีสซง
มามาร์ดาชวิลี สร้างผลงานที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ อลีสซง โดยเขาสามารถเล่นในระบบเดียวกันและยืนตำแหน่งในสนามได้ดีเช่นเดียวกับ อลีสซง แต่เขาโดดเด่นเรื่องการเซฟประตู ส่วน "พ่อหมี" เก่งรอบด้าน โดยเฉพาะการเผชิญหน้าแบบตัวต่อตัว
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่นักเตะลิเวอร์พูลจะต้องปรับตัวให้คุ้นเคย เพราะ อลีสซง จะหมดสัญญาหลังจบฤดูกาลนี้ แม้สโมสรจะใช้ออปชั่นขยายสัญญาเพิ่ม 1 ปี แต่ปัญหาการบาดเจ็บบ่อยๆ ของเขาบ่งชี้ว่าซีซั่นนี้อาจเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขาที่จะเป็นตัวหลักของทีม
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องยากเสมอ แต่ มามาร์ดาชวิลี ได้แสดงให้เห็นแล้วในช่วงต้นฤดูกาลนี้ว่าเขาสามารถเข้ามาเติมเต็มช่องว่าง และก้าวขึ้นเป็นผู้รักษาประตูหมายเลข 1 แบบเต็มตัวได้อย่างแน่นอน
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄