วันที่ความจริงไล่ทัน ลิเวอร์พูล : ทำไมทีมของ อาร์เน่อ ถึงไม่พร้อมสำหรับป้องกันแชมป์

วันที่ความจริงไล่ทัน ลิเวอร์พูล : ทำไมทีมของ อาร์เน่อ ถึงไม่พร้อมสำหรับป้องกันแชมป์
เมื่อการป้องกันแชมป์กลายเป็นเรื่องเกินเอื้อม ลิเวอร์พูล ต้องหันกลับมามองสิ่งที่ยังเหลืออยู่ในฤดูกาลนี้

ความพ่ายแพ้ต่อ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือผลงานที่น่าผิดหวัง ไม่ใช่เพียงเพราะผลลัพธ์บนสกอร์บอร์ด แต่เพราะกระบวนการที่หายไปอย่างสิ้นเชิง

ก่อนเกมเริ่ม มีเสียงเตือนว่า ไม่ควรให้น้ำหนักกับผลการแข่งขันมากนัก เพราะการไปเยือน เอติฮัด คือภารกิจที่ยากสำหรับทุกทีม 

ซิตี้ คือทีมที่มีทั้งโค้ชระดับโลก ขุมกำลังที่สมบูรณ์ และความได้เปรียบในบ้าน แต่สิ่งที่ทำให้ค่ำคืนนั้นต่างออกไปคือ ความแย่ที่ไม่อาจปฏิเสธ 

ลิเวอร์พูล ดูเหมือนทีมที่หลงทางตั้งแต่นาทีแรกจนจบเกม และไม่มีช่วงไหนเลยที่พวกเขาอยู่ในจังหวะของตัวเอง

หาก ลิเวอร์พูล สามารถสานต่อฟอร์มจากเกมที่เอาชนะ แอสตัน วิลล่า หรือ เรอัล มาดริด เล่นด้วยความมั่นใจ เคลื่อนบอลจากหลังไปหน้าได้อย่างลื่นไหล และเพรสซิ่งอย่างมีระบบ แม้จะแพ้ก็คงไม่ถูกวิจารณ์มากนัก แต่เมื่อทุกอย่างหายไป ผลลัพธ์ 0-3 จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง

สถิติสะท้อนทุกอย่างอย่างชัดเจน แมนซิตี้ ยิง 14 ครั้ง เข้ากรอบ 6 ครั้ง ส่วน ลิเวอร์พูล ยิง 7 ครั้ง เข้ากรอบแค่ลูกเดียว 

ค่า xG ของ ซิตี้ อยู่ที่ 1.6 ขณะที่ ลิเวอร์พูล มี 0.71 

ทั้งหมดนี้คือหลักฐานของความเหนือกว่าทุกมิติ และความพ่ายแพ้ที่ไม่เหลือข้อแก้ตัวใด ๆ

...

หลังเกมนี้ คำว่า "ป้องกันแชมป์" แทบไม่มีความหมายอีกต่อไป ลิเวอร์พูล ตามหลัง อาร์เซน่อล 8 แต้ม และแพ้ไปแล้ว 5 จาก 11 นัดใน พรีเมียร์ลีก 

หากเกมนี้พวกเขาชนะ ช่องว่างอาจเหลือแค่ 5 แต่ฟอร์มที่ไกลจากมาตรฐานเช่นนี้ ทำให้ 8 แต้มดูเป็นภูเขาที่ปีนไม่ไหว

ต่อให้ อาร์เซนอล หรือ แมนซิตี้ ฟอร์มร่วงรุนแรง ลิเวอร์พูล ดูไม่น่าจะกลับเข้าสู่เส้นทางลุ้นแชมป์ได้จริงจังอีกครั้งในปีนี้

แม้จะมีบางคนพูดถึงเรื่องโชค ลูกโขกของ ฮาลันด์ ที่แฉลบ อิบราฮิม่า โกนาเต้ ก่อน, ประตูของ นิโก้ กอนซาเลซ ที่เปลี่ยนทาง, หรือจังหวะล้ำหน้าที่ริบประตูของ ลิเวอร์พูล 

แต่ความจริงคือทีมใหญ่ ๆ ไม่ควรตกเป็นเหยื่อของรายละเอียดเล็ก ๆ เหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ผลงานโดยรวมต่างหากที่สะท้อนว่า ลิเวอร์พูล ยังไม่ดีพอที่จะอยู่ในระดับของทีมลุ้นแชมป์

...

เสียงวิจารณ์ต่อเฮดโค้ช และทีมงานสรรหาผู้เล่นเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้ามายังไม่สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างที่หวังไว้

อูโก้ เอกิติเก้ ไม่มีความมั่นคงในเกม ไม่ชนะในการดวลตัวต่อตัว และหายไปจากเกมเกือบตลอด 90 นาที

ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ฟอร์มไม่ดีอีกครั้ง แม้จะทำหน้าที่ได้ดีในเกมกับ เรอัล มาดริด

มิลอส เคอร์เคซ ที่ควรเป็นคำตอบในตำแหน่งแบ็กซ้าย กลับถูกดร็อปเพราะฟอร์มไม่ถึงมาตรฐาน

ผู้เล่นเหล่านี้อาจมีศักยภาพในระยะยาว แต่ดูเหมือนพวกเขาถูกเซ็นเข้ามาเพื่ออนาคต 3–4 ปีข้างหน้า มากกว่าจะพร้อมสร้างอิมแพกต์ทันทีในวันนี้ 

มันแตกต่างจากยุคที่ ลิเวอร์พูล เคยได้ตัว ซาดิโอ มาเน่, โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อลีสซง เบ็คเกอร์ หรือ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ที่เป็นการเสริมทัพเปลี่ยนทีมได้ในทันที

เมื่อผู้เล่นใหม่ 4 จาก 5 คนต้องใช้เวลาในการปรับตัว ผลที่ตามมาคือการถอยหลังในระยะสั้น ซึ่งคือราคาที่ทีมต้องจ่ายในฤดูกาลแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้

...

หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนที่สุดคือ การขาดความแข็งแกร่งทางกายภาพ ซึ่งไม่ได้รับการแก้ไขเลยในช่วงซัมเมอร์ ทั้งที่มันคือจุดอ่อนเรื้อรังของทีมมานาน

ที่น่าตกใจกว่าคือ ซิตี้ เองก็ไม่ใช่ทีมที่เน้นพละกำลังมากนัก แต่กลับเอาชนะ ลิเวอร์พูล ได้แทบทุกการดวล

การดวลลูกภาคพื้น : แมน ซิตี้ ชนะ 40 ครั้ง (61%) ลิเวอร์พูล 26 ครั้ง (39%)

การดวลลูกกลางอากาศ : แมน ซิตี้ ชนะ 8 ครั้ง (62%) ลิเวอร์พูล 5 ครั้ง (38%)

เมื่อ ลิเวอร์พูล แพ้แทบทุกจังหวะการดวล พวกเขาจึงไม่สามารถยึดพื้นที่ในเกมได้เลย และนั่นทำให้รูปเกมทั้งเกมอยู่ในมือของคู่แข่งตลอดเวลา

ฟอร์มเกมเยือนก็ยังย่ำแย่ (ชนะ 1 เสมอ 3 แพ้ 5) เกมที่เจอแรงกดดันจากกองเชียร์เจ้าบ้านถาโถมเข้ามา ทีมที่ไม่แข็งแกร่งพอจะไม่มีทางคว้าชัยกลับออกมาได้

...

เมื่อเส้นทางลุ้นแชมป์สิ้นสุดลง ลิเวอร์พูล ต้องนิยามเป้าหมายของฤดูกาลใหม่ให้ชัดเจน

แม้ตอนนี้ทีมอยู่อันดับ 8 อาจดูเป็นหายนะ แต่ความจริงแล้วพวกเขาห่างจากอันดับสามเพียงสองแต้มเท่านั้น

การแข่งขันในกลุ่มท็อปโฟร์ปีนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก แม้ เชลซี จะขึ้นมาอยู่ที่สาม แต่ฟอร์มโดยรวมยังไม่น่าไว้ใจ หาก ลิเวอร์พูล สามารถเรียกโมเมนตัมกลับมาได้ การกลับไปอยู่ในท็อปโฟร์ไม่ใช่เรื่องเกินเอื้อม

เป้าหมายของฤดูกาลนี้คือ

จบในท็อปโฟร์ (หรือดีที่สุดคืออันดับสาม)

ให้เวลาผู้เล่นใหม่ปรับตัวและสร้างเคมีในทีม

แก้ไขปัญหาความแข็งแกร่งทางกายภาพ

ลุ้นแชมป์ แชมเปี้ยนส์ ลีก เวทีที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพมีผลน้อยกว่า และระบบของ อาร์เน่อ อาจไปได้ไกล

ช่วงเวลาที่เหลือของฤดูกาลนี้จึงไม่ใช่การนับแต้ม แต่คือช่วงเวลาแห่งการประสานและหลอมรวมให้ทุกชิ้นส่วนเข้ากันได้จริง ก่อนจะกลับมาเป็นทีมที่พร้อมแข่งขันในปีหน้า

...

หลังพักเบรกทีมชาติ ลิเวอร์พูล มีโอกาสสร้างโมเมนตัมจากโปรแกรมที่ดูเป็นมิตร ฟอเรสต์ (เหย้า), พีเอสวี (เหย้า), เวสต์แฮม (เยือน), ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า), และ ลีดส์ (เยือน) 

หากเก็บชัยชนะได้ต่อเนื่องในช่วงนี้ ทีมจะกลับมาสู่โซนท็อปโฟร์อย่างมั่นคงอีกครั้ง

แต่ในระยะยาว สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะการเพิ่มความแข็งแกร่งในแผงมิดฟิลด์ และหาผู้เล่นแนวรับที่สามารถพาบอลขึ้นหน้าได้อย่างมั่นใจ

สิ่งที่ ลิเวอร์พูล ทำตอนต้นฤดูกาลไม่ได้ผล แต่ก็ไม่ใช่เรื่องถาวร เพราะแม้แต่ทีมอย่าง อาร์เซน่อล หรือ แมนซิตี้ ก็เคยสะดุดและกลับมาได้ในปีต่อมา

ความพ่ายแพ้ต่อ ซิตี้ จึงไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็นกระจกสะท้อนที่ทำให้ทีมต้องมองเห็นปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหมดอย่างชัดเจน และเริ่มต้นการแก้ไขอย่างจริงจัง

บางครั้ง การสิ้นสุดของความหวังในเดือนพฤศจิกายน อาจคือจุดเริ่มต้นของการสร้างทีมใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมในเดือนพฤษภาคมปีหน้า

สุดท้าย ไม่ว่าจะบอลแพ้หรือใจล้าแค่ไหน อย่าลืมดูแลตัวเองด้วยนะครับ

HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : reuters
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport