เมื่อ อาร์เซน่อล คือ 'เต็งหนึ่ง' คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ การศึกระดับอภิพญามหายุทธ์ระหว่าง แมนซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ก็คือการตัดสินว่าทีมใดจะเป็น 'ผู้ท้าชิง' ของไอ้ปืนโต
ผลปรากฏว่า 'เรือใบสีฟ้า' พิชิต 'แชมป์เก่า' ด้วยสกอร์...สกอร์...สกอร์...เอ่อออ..อ..อ..อ สามประตูต่อศูนย์ !!!
1. เจ้าของสนาม เอติฮัด สเตเดี้ยม ไม่ชนะพวกพรี่ๆ มา 4 นัดติดต่อกัน แถมซีซั่นที่แล้วก็แพ้แบบไป-กลับ ว่าแล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอล่า วางแผนให้ลูกทีมเล่นอย่างรัดกุมมากกว่าเดิม และไม่ผลีผลามบุก
พวกเขาอาศัยการเคาะบอลและทำชิ่งที่แม่นยำกว่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบช่องว่างแล้วก็จะเปลี่ยนจังหวะเป็นการจู่โจมแบบสายฟ้าฟาดทันที
ขณะที่ทีมเยือนพยายามเพรสซิ่งตั้งแต่แดนบน ทว่ากลับไล่ไม่ค่อยจน เหตุเพราะการเพรสซิ่งของพวกเขาไม่ดุดันเหมือนเดิม
2. ตอนที่ แมนซิตี้ ได้จุดโทษในช่วงต้นเกม แล้ว เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ ดันยิงไม่เข้า ผมนึกว่า ลิเวอร์พูล มากับดวงแล้ว
ที่ไหนได้นะครับ มันดันเป็นเกมที่อะไรและอะไรก็ไม่เป็นใจให้พวกเขาเลย !!!
ประตูแรกที่เสีย สิ่งที่เห็นคือ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน กับ โฟลเรียน เวียร์ตซ ไม่ยอมเข้าไปบีบพลางปล่อยให้ มัตเธอุส นูเนซ มีทั้งพื้นที่และเวลาในการบรรจงเปิดมากและง่ายเกินไป
3. จุดเปลี่ยนสำคัญของเกมเกิดขึ้น เมื่อ ลิเวอร์พูล ได้ลูกเตะมุมแล้ว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โขกเข้าไปตุงตาข่าย แต่กลับถูกผู้ช่วยผู้ตัดสิน และ VAR ปฏิเสธ ด้วยข้อหาล้ำหน้า เหตุเพราะ 'ร็อบโบ้' ที่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าถูกมองว่ามีส่วนในการรบกวนสายตาของ จีโจ้ ดอนนารุมม่า
กรีดตูดสาบานนะครับ
ผมมองว่า ลิเวอร์พูล ควรได้ประตูตีเสมอเป็นอย่างยิ่งนะครีบ เพราะนายทวารของ แมนซิตี้ ทั้งเห็นวิถีที่ลูกฟุตบอลพุ่งมา ขณะตัวเองก็พุ่งไปปัดไม่ทันแล้วแน่ๆ
แต่ผมเคยแสดงความเห็นในเรื่องแบบนี้มาหลายครั้งแล้วว่ามุมมองของผู้ตัดสินอังกฤษแต่ละคนที่คุณภาพบัดซบนั้นไม่เหมือนกัน
บางคนอาจมองว่าเกี่ยวข้อง บางคนอาจมองว่ามันไม่เกี่ยวข้อง อันนี้ก็แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรมของแต่ละทีมว่าจะเจอตุลาการสนามคนไหน ???
4. หาก ลิเวอร์พูล ตีเสมอเป็น 1-1 ได้ในจังหวะนี้ เกมอาจพลิกผันไปอีกรูปแบบ หรือไม่พลิกผันก็เป็นได้ ไม่มีใครรู้
ที่แน่ๆ คือนอกจาก 'หงส์แดง' จะอดได้ประตู มิซ้ำยังมาถูกทิ้งห่างเป็น 2-0 ก่อนจบครึ่งแรกอีกต่างหาก
งานจึงยากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ !!!
5. พลันที่เริ่มครึ่งหลัง เจ้าถิ่นที่นำห่าง 2 ประตู จึงหันมาเล่นเกมรับแบบรักษาสกอร์ ขณะที่แชมป์เก่าถูกสถานการณ์บังคับให้เร่งเกมรุกบุกแหลกแบบไม่มีอะไรจะเสีย
ปัญหาคือจังหวะเข้าทำที่ติดๆ ขัดๆ และจังหวะจบสกอร์ที่ไม่เด็ดขาด ทั้งที่มีอยู่ 2-3 จังหวะที่ควรจะตีไข่แตกได้
ต่อเมื่อทำไม่ได้ สุดท้ายถูกลงโทษด้วยความสะเด่าไปเลยอีน้องของ เฌเรมี่ โดกู ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่าก่อนเกมเขาคงแดกพริกขี้หนูมา 300 เม็ด ฟอร์มการเล่นถึงเผ็ดร้อนแบบเกินห้ามใจซะขนาดนั้น
สรุปว่า แมนซิตี้ เหนือกว่า แถมเทพีแห่งโชคยังถือหางจึงเหมาะสมกับการเป็นผู้ท้าชิงแชมป์ของ อาร์เซน่อล มากกว่าด้วยประการฉะนี้ ฮรี่ๆๆๆ