คำพูดอันโด่งดังของ ไมค์ ไทสัน ก่อนขึ้นชกกับ อีแวนเดอร์ โฮลีฟิลด์ อธิบายช่วงเวลานี้ของ อาร์เน่อ กับ ลิเวอร์พูล ได้อย่างเป็นอย่างดี
ในวันที่ทุกอย่างดูเหมือนถูกวางแผนไว้อย่างดี แผนการเล่น, ระบบทีม, บทบาทของนักเตะใหม่
แต่เมื่อเสียงนกหวีดเริ่มดัง และความจริงในสนาม เริ่มปล่อยหมัดใส่ไม่ยั้ง แผนเดิมทั้งหมดก็ต้องถูกปรับใหม่อีกครั้ง
และหนึ่งในผลลัพธ์ของการโดนต่อยเข้าปากคือการค้นพบสิ่งใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิด...
คือการโยก ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ไปยืนฝั่งซ้าย
...
บทบาทการเล่นทางฝั่งซ้ายของ ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ ในเกมกับ เรอัล มาดริด ดูเหมือนจะเป็นคำตอบของหลายปัญหาที่ อาร์เน่อ ต้องเผชิญมาตลอดฤดูกาลนี้
สำหรับใครที่ตัดสินผลงานของ เวียร์ตซ์ กับ ลิเวอร์พูล เพียงแค่จากจำนวนประตูหรือแอสซิสต์
ชัยชนะเหนือ เรอัล มาดริด เมื่อวันอังคารอาจดูเหมือนเป็นหลักฐานเพิ่มเติมว่าเขากำลังมุ่งหน้าสู่ความล้มเหลวในถิ่น แอนฟิลด์
แต่สำหรับคนที่ได้ชมเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก คืนนั้นจริง ๆ จะเห็นว่า แม้ เวียร์ตซ์ จะไม่มีส่วนร่วมโดยตรงกับการทำประตูเลย แต่นี่คือฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดของแข้งเยอรมันรายนี้นับตั้งแต่สวมเสื้อสีแดง ลิเวอร์พูล
บทบาททางฝั่งซ้าย แน่นอนว่าไม่ใช่บทบาทที่ อาร์เน่อ เคยพูดไว้กับ เวียร์ตซ์ ตอนที่ใช้เวลาพูดคุยยาวนานจนสามารถกล่อมให้เจ้าตัวปฏิเสธข้อเสนอจาก เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิก และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วเลือกย้ายมาที่นี่
ตอนนั้น เวียร์ตซ์ เชื่อว่าเขากำลังจะย้ายมาที่เมอร์ซีย์ไซด์เพื่อเป็นเบอร์ 10 ลิเวอร์พูล คนใหม่ หรือเป็นอัญมณีล้ำค่าที่สุดของทีมภายใต้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ทว่า... อย่างที่คำกล่าวของ ไมค์ ไทสัน ว่าไว้ "ทุกคนมีแผน จนกว่าจะถูกต่อยเข้าปาก"
ความหมายคือ ต่อให้วางแผนมาดีแค่ไหน พอเจอความเป็นจริงหรือปัญหาหนัก ๆ แผนนั้นก็ต้องถูกปรับใหม่
และบาดแผลที่ ลิเวอร์พูล ได้รับช่วงต้นฤดูกาลก็ทำให้แผนนั้นต้องถูกทบทวนใหม่ทั้งหมด
...
มันกลายเป็นเรื่องชัดเจนว่าการฝากความหวังให้ เวียร์ตซ์ ในวัย 22 ปีที่ยังต้องปรับตัวกับลีกที่เข้มข้นที่สุดในโลก มาครองพื้นที่แคบที่สุดของสนาม พร้อมต้องรับมือกับคู่แข่งที่มีพละกำลังมากกว่าเดิมอย่างมหาศาลนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลนัก
ขณะเดียวกัน การแตกออกของสามประสานแดนกลางที่เคยพาทีมคว้าแชมป์อย่าง อเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์, โดมินิก โซโบซไล และ ไรอัน กราเฟนแบร์ก เป็นชนวนที่ทำให้ทีมเสียสมดุลโดยรวมไปอย่างชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้น ก็มีทางออกที่เรียบง่าย และบางคนอาจบอกว่าเห็นชัดอยู่แล้ว ที่จะช่วยให้ทั้งสามคนกลับมารวมกันได้ โดยไม่ต้องทำให้ เวียร์ตซ์ กลายเป็นคนนอกของระบบ นั่นคือการจับเขาไปเล่นทางฝั่งซ้าย
ความจริงที่ว่าแนวทางนี้อยู่ตรงหน้า อาร์เน่อ มาตลอด อาจถูกยืนยันด้วยแผนที่ฮีตแมปของ เวียร์ตซ์ จากเกม แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้วกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น
ซึ่งตอนนั้นเขาถูกใช้งานในตำแหน่งเพลย์เมกเกอร์คู่หรือหนึ่งในสองเบอร์ 10 ของทีม
ลองเทียบกับเมื่อคืนที่ผ่านมา แม้ในทางทฤษฎีเขาจะถูกวางให้เป็นปีกซ้าย แต่ทางปฏิบัติ เวียร์ตซ์ ได้รับอิสระให้ขยับเข้ามาเล่นตรงกลางในพื้นที่ที่เขาสามารถสร้างความอันตรายได้มากที่สุด ซึ่งถ้าเปรียบเทียบปีก่อนกับเกมที่ผ่านมา มันแทบไม่ต่างกันเลย
ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจนัก ที่การได้กลับมาอยู่ในโซนถนัดจะทำให้เขาสร้างโอกาสได้มากที่สุดในสนามถึง 5 ครั้ง มากกว่าใครทั้งหมด
สิ่งที่น่าชื่นใจยิ่งกว่านั้นคือ เวียร์ตซ์ ยังทุ่มเทในเกมรับเต็มที่ เขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของทีมในเรื่องการแย่งบอลกลับมาได้ และช่วยให้ แอนดี้ โรเบิร์ตสัน ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสมทางฝั่งซ้าย
ทั้งหมดนี้มาจากอีกหนึ่งคุณสมบัติของ เวียร์ตซ์ ที่มักจะถูกมองข้าม นั่นคือความขยันแบบไม่มีหมด
เวียร์ตซ์ คือผู้เล่นที่วิ่งมากที่สุดในเกมกับ เรอัล มาดริด มีตัวเลขวิ่งที่ 11.37 กิโลเมตร มากกว่า โซโบซไล (10.61 กิโลเมตร) อย่างชัดเจน
การที่ ลิเวอร์พูล มีมิดฟิลด์เชิงเทคนิคมาเล่นกว้างทางฝั่งซ้าย ยังช่วยเสริมเกมต่อบอลขึ้นหน้าของทีมได้ดีขึ้น
เวียร์ตซ์ มักจะถอยต่ำลงมารับบอลโดยหันหลังให้ประตู แล้วใช้ความนิ่งในการเชื่อมต่อกับเพื่อนร่วมทีมให้เกมไหลลื่น
เมื่อรวมทุกองค์ประกอบเข้าด้วยกัน มันก็เพียงพอที่จะทำให้เราตั้งคำถามว่า อาร์เน่อ อาจจะบังเอิญค้นพบคำตอบของทุกปัญหาของ ลิเวอร์พูล เข้าแล้วก็เป็นได้ อย่างน้อยก็ในระยะสั้น
ท้ายที่สุด แม้ว่า เวียร์ตซ์ อาจยังคงอยากกลับไปเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 ที่เขาได้รับการสัญญาไว้ในตอนย้ายทีม
แต่ความจริงคือ "ไม่มีใครอยากเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่แพ้"
ดังนั้น ณ ตอนนี้ หากการเล่นทางฝั่งซ้ายช่วยให้เขาทำผลงานได้ดีขึ้น และช่วยยกระดับทั้งทีมไปพร้อมกัน
มันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ เวียร์ตซ์ หรือแม้แต่ใครในทีม จะมีเรื่องให้บ่นเลยแม้แต่น้อย
และบางที หมัดนั้นที่ชกเข้าปากในช่วงต้นฤดูกาล อาจไม่ใช่จุดจบของแผนเดิม
แต่มันคือ แรงกระแทกที่ทำให้ ลิเวอร์พูล พบเส้นทางใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมก็เป็นได้...
HOSSALONSO