ชาบี อลอนโซ่ ที่กำลังนำ เรอัล มาดริด กลับมาแอนฟิลด์อีกครั้งไม่เคยลืมเกมประเดิมสนามภายใต้โลโก้นกสีแดงที่ รีบ็อค สเตเดี้ยม ในปี 2004
อากาศเย็นในเดือนสิงหาคมก็ส่วนหนึ่ง
หากสิ่งที่เขาต้องเผชิญตรงหน้าต่างหากที่ทำให้ตกตะลึง เขาได้ให้สัมภาษณ์ลงหนังสือในภายหลังดังนี้ "มันดิบมาก มีแต่บอลโยน บอลจังหวะสอง (second ball) และนักเตะตัวสูงใหญ่อาศัยร่างกายเข้าปะทะ อีกฝ่ายมี เควิน โนแลน กับ เควิน เดวี่ส์ ยืนค้ำหน้า มองไปข้างสนาม แซม อัลลาร์ไดซ์ กำลังเคี้ยวหมากฝรั่ง ทุกครั้งที่โบลตันได้ฟรีคิกก็จะมีกองหลังรูปร่างทหารขึ้นไปข้างหน้า ตอนนี้ทั่วสนามก็เขย่าราวว่าทีมกำลังจะได้ประตู..."
ใช่ครับ สิ่งที่ อลอนโซ่ เล่าให้ฟังเป็นคาแรกเตอร์ของบอลอังกฤษที่มีมาช้านาน ใครดูบอลทันยุค 80-90 ก็ต้องจดจำได้ถึงรูปแบบเบสิคที่นิยม 4-4-2 มีกองหน้าตัวเป้าสองคนคอยพังตาข่ายในเขตโทษ ทุกทีมต้องมีปีกสองฝั่งมีความเร็ว ไม่ต้องคิดอะไรเยอะแค่พาบอลถึงเส้นหลังก่อนครอสเข้ากลาง
วิวัฒนาการเกมลูกหนังผู้ดีมาเปลี่ยนไปชัดเจนนับแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้ามา โค้ชหลายๆมองเห็นสไตล์ของ เป๊ป เป็นต้นแบบ ช่วงหลายปีมานี้แม้แต่ทีมระดับล่างก็ยังเน้นการเคาะบอลสั้นจากหลังขึ้นมา การครองบอลหมายถึงพระเจ้าที่นำไปสู่ชัยชนะ
อย่างไรก็ตามซีซั่นนี้ เทรนด์ ที่กำลังมาแรงได้สวนทางกลับไปยังในอดีต ใครได้ดูก็คงสังเกตว่าแทบทุกทีมต้องมีลูกทุ่มไกลให้เห็น บางทีมเช่น เบรนท์ฟอร์ด ก็อาศัยลูกทุ่มไกลเป็นอาวุธเด็ดในการพังตาข่าย
สถิติยืนยันไว้ว่าพรีเมียร์ลีกที่แข่งกันมาตอนนี้มีถึง 28% ที่ประตูมาจากเตะมุม, ฟรีคิกหรือทุ่มไกล เรียกว่าสูงที่สุดนับแต่ฤดูกาล2009/10
เอาง่ายๆว่าทีมจ่าฝูง-อาร์เซน่อล ได้จากลูกตั้งเตะถึง 11 จาก 18 ลูกที่ทำได้ แน่นอนว่าก็จะมีเสียงเหน็บแนมจากกองเชียร์คู่แข่งแต่ในเมื่อมันเป็นส่วนหนึ่งของเกมฟุตบอลมาช้านานก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นรายละเอียดที่ มิเกล อาร์เตต้า กับทีมงานใส่ใจในการบริหารทีม
การออกบอลสั้นขึ้นไปถึงจะเพลิดเพลินลูกตาก็มาพร้อมความเสี่ยงเสมอ ในเกมวันเสาร์ที่ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส เสียให้ เชลซี ก่อนแพ้คาบ้านไปก็มาจากจุดนี้เมื่อโดนแย่งบอลตรงหน้าเขตโทษตัวเอง
โธมัส แฟร้งค์ ไม่ใช่โค้ชที่ขึ้นชื่อเรื่องทำทีมต่อบอลอยู่แล้ว สมัยอยู่ เบรนท์ฟอร์ด เน้นบอลไดเรกท์เป็นหลักแต่เขาก็พยายามปรับเปลี่ยนให้เข้ากับ DNA ของทีมใหม่ ทุกอย่างต้องใช้เวลาเพียงแต่มันทำให้แฟนบอลหงุดหงิดถึงขั้นโห่ตอนเกมจบ มีคลิปที่เป็นไวรัลมีนักเตะเดินผ่านไม่จับมือเขา
อีกเกมก็ที่แอนฟิลด์ ประตู 1-0 ที่ ลิเวอร์พูล ได้จากโม ซาล่าห์ก็มาจากการออกบอลผิดพลาดของ เอมิลิอาโน่ มาร์ติเนซ นายทวารวิลล่า จริงๆลูกแบบนั้นโกลที่ได้รับการยกย่องระดับโลกไม่ควรพลาดเลย จินตนาการว่าแค่เขาเตะบอลยาวไปข้างหน้าซิก็จะเซฟแล้วถูกต้องไหม
เทรนด์ของพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้จึงไม่ใช่แค่แนวทางทำประตู การออกบอลสั้นก็ลดลง การเตะบอลยาวตอนได้goal kicksก็เพิ่มขึ้น 8% จากปีที่ผ่านมา
เจาะลึกไปมันไม่ใช่แค่ลีกสูงสุด พวกทีมลีกล่างแชมเปี้ยนชิพ, ลีกวันและลีกทูก็ตาม พวกทีมกลุ่มนำของตารางก็มีเกือบครึ่งที่ครองบอลน้อยกว่า 50%
เพราะการครองบอลเยอะไม่ได้การันตีว่าจะต้องประสบความสำเร็จหรือชนะเสมอ
แม้แต่เป๊ปเองก็มีการยืดหยุ่นตามกระแสลม เขาเองไม่ได้ดื้อดึงว่าต้องกวาดชัยในแบบฉบับเดิม ตัวอย่างล่าสุดเกมเปิดรังทุบบอร์นมัธ3-1ก็ครองบอลน้อยกว่าแค่48.4%
มาซิ คุณโหมเข้ามา พอพวกเขาตัดบอลได้ก็จู่โจมเร็ววางบอลให้เอร์ลิ่ง ฮาลันด์หลุดแนวรับHigh Lineเข้าไปปิดสกอร์
นี่คือฟุตบอล เกมกีฬาที่ท้ายที่สุดก็ตัดสินที่จำนวนประตู
น้อยคนนักจะแคร์ว่ามาได้อย่างไร
"ไก่ป่า"........