แอนตี้ ฟุตบอล (ดาร์ค อาร์ท) ของ อาร์เซน่อล

แอนตี้ ฟุตบอล (ดาร์ค อาร์ท) ของ อาร์เซน่อล
-

1. กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว

อาร์แซน เวนเกอร์ เคยสัพยอก เชลซี จากการทำงานของ โชเซ่ มูรินโญ่ ว่าเป็นแชมป์แบบไม่มีสไตล์

เหตุเพราะ 'สิงห์บลูส์' ให้ความสำคัญกับเล่นฟุตบอลแบบเน้นผลการแข่งขันบนความรัดกุมมากกว่าความสนุกสนานของท่านผู้ชม

ผิดกับ 'เดอะ กันเนอร์ส' ของเขาที่เน้นเกมรุกสวยงาม

นี่คือคำว่า 'แบบมีสไตล์' ในความหมายของกุนซือชาวฝรั่งเศส

2. โชเซ่ มูรินโญ่ ยินแล้วก็ยักไหล่แบบไม่สะทกสะท้านพลางพูดในใจว่า...ชัต เดอะ ฟัค อัพ !!!

เพราะด้วยวิธีการเล่นแบบเน้นผลการแข่งขัน

อนึ่ง ไม่ใช่เน้นเกมรับนะครับ กรุณาอย่าเข้าใจผิด 'เน้นผล' คือการเล่นแบบรัดกุม ไม่เสี่ยง อาศัยความแน่นอน และปลอดภัยไว้ก่อน ขณะที่ เชลซี มีเกมรับที่แข็งแกร่งจึงเสียประตูยาก 

วิธีการเล่นแบบนี้แหละช่วยให้ เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 2 สมัยติดต่อกันในฤดูกาล 2004/05 และ 2005/06

ส่วนบอลสวยลากไส้ของ อาร์แซน เวนเกอร์ ไม่เคยสัมผัสโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกมาตั้งแต่ปี 2004

3.ตัดกลับมาที่ฤดูกาลนี้ หลังศึกพรีเมียร์ลีกผ่านไป 9 นัด

อาร์เซน่อล นำเป็นจ่าฝูง โดยทำไปแล้ว 16 ประตูที่มาจากลูก 'เซ็ตพีซ' ถึง 9 ประตู จุดโทษ 2 ประตู และมาจากจังหวะเล่นแบบ 'โอเพ่น เพลย์' แค่ 5 ประตู เท่านั้นเอง !!!

อืมมมมมมมม...นะ

4. ไอ้ปืนใหญ่คือทีมที่ทะลวงตาข่ายคู่แข่งจากลูกเซ็ตพีซได้มากที่สุดในพรีเมียร์ลีก แต่ในทางกลับกัน 5 ประตูที่มาจาก 'โอเพ่น เพลย์' มันถือว่าน้อยมาก

เรื่องนี้อาจมองได้ 2 มุม

มุมหนึ่งคือคุณพึ่งลูกตั้งเตะต่างๆ มากเกินไปจนเกมไหนที่คู่แข่งสามารถป้องกันหรือแก้ลำได้ลาะก็ มันจะมีปัญหาเอาน่ะซี่ย์ย์ย์

มุมหนึ่งคือหาก อาร์เซน่อล ปรับจังหวะการเข้าทำแบบ 'โอเพ่น เพลย์' ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมเมื่อไหร่ พวกเขาจะกลายเป็นทีมที่ครบเครื่อง และไร้เทียมทานทันที

5. ฟุตบอลยุคสมัยใหม่ใน พ.ศ.นี้ เหมือนมันจะย้อนกลับไปในยุคโบราณอีกครั้ง 

เมื่อหลายต่อหลายทีมนิยมใช้ลูกเซ็ตพีซให้เป็นประโยชน์ ทั้งเตะมุม, ฟรีคิก และทุ่มไกล แถมยังหันกลับมาใช้บอลยาวบอมบ์ใส่คู่แข่งแบบ ไดเร็กต์ ฟุตบอล อีกตะหาก

เมื่อหลายทีมหันมาเล่นกันแบบนี้ เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ อาร์เซน่อล ที่สถาปนาตัวเองเป็น 'เจ้าพ่อลูกนิ่ง' มันจึงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาว่ามันคือการทำลายความสวยงามของเกมฟาดแข้ง ซ้ำยังกระทืบความสนุกสนานของเกมลูกหนัง

พรีเมียร์ลีกจึงชักจะกลายเป็นสมรภูมิแข้งที่น่าเบื่อ เพราะแต่ละทีมพยายามพึ่งลูกเตะมุม และทุ่มไกลกันอย่างเอิกเกริก

สำหรับคนที่บ้าบอลมาตั้งแต่ยุค 'ดิ๊ดจะโก้' (80's) อยากบอกว่าฟุตบอลมันก็แบบนี้แหละครับ เทรนด์ของเกมลูกหนัง มันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เรื่อยๆ ทั้งนี้เพื่อหาวิธีใหม่ๆ มาเอาชนะคู่แข่ง (หลังวิธีเก่าชักไม่ได้ผล) เพราะผลการแข่งขัน มันวัดกันที่ทีมใดทำประตูได้มากกว่า

ผลการแข่งขันมิได้วัดกันที่ทีมใดเล่นฟุตบอลได้สวยงามมากกว่าสักหน่อย

...ว่าแล้วก็นึกถึงวลีคลาสสิกของ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตท่านผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีน

"จู๋ของนกเป็ดน้ำที่ทะเลสาปอาร์เจนไทน์มีความยาวเท่าตัวของมัน"

ถุยยยยย...ไม่ใช่แล้ว ไอ้บ้า !!!

"แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้เป็นพอ"



ที่มาของภาพ : Reuters
BY : บอ.บู๋
บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport