สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของ อาร์เซน่อล และความหวังในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2004 หลัง "ปืนใหญ่" เฉือนชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 ขณะที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ทั้งคู่
ผลการแข่งขันแบบฉิวเฉียดของ อาร์เซน่อล อาจทำให้หลายคนคิดว่าพวกเขามีเกมรุกที่ไม่เฉียบคม แต่หากมองภาพรวมจะเห็นได้ว่าเกมรับของทีมสุดแข็งแกร่ง โดยเสียแค่สามประตูเท่านั้นจากการเล่นในทุกรายการช่วงต้นซีซั่นนี้
เกมรับที่เหนียวแน่นอาจจะเป็นกุญแจสำคัญในการลุ้นความสำเร็จของ อาร์เซน่อล ในฤดูกาลนี้ ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่าง ลิเวอร์พูล ยังคงวนลูปอยู่กับวิกฤติเกมรับและเกมรุกที่ขาดความมั่นคง ทำให้พวกเขาแพ้รวมในเกมลีก 4 แมตช์ติดต่อกัน ส่งผลต่ออันดับที่ร่วมกราวรูดจากจ่าฝูงหล่นไปอยู่อันดับ 7
ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ บางเกมก็กดคู่แข่งอยู่หมัด บางแมตช์ฟอร์มฝืดเจาะตาข่ายไม่ได้ เหมือนในเกมพ่าย แอสตัน วิลล่า โดยหากวันไหน เออร์ลิง ฮาลันด์ โชว์ฟอร์มไม่ออก งานนี้ "เรือใบสีฟ้า" มีสิทธิ์แพ้ได้เลย
สำหรับ 5 เกมต่อไปมีความสำคัญต่อการลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างมาก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ อาร์เซน่อล , แมนฯ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเมื่อผ่านช่วงพักเบรกทีมชาติเดือนพฤศจิกายน และเริ่มเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ พวกเขาต้องเจอกับโปรแกรมแน่นเอี๊ยด
อาร์เซน่อล
5 เกมต่อไป : เบิร์นลี่ย์ (เยือน), ซันเดอร์แลนด์ (เยือน), ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (เหย้า), เชลซี (เยือน), เบรนท์ฟอร์ด (เหย้า
อาร์เซน่อล เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายนด้วยการเล่นเกมเยือน 2 แมตช์โดยพบกับสองทีมน้องใหม่ เกมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะ ซันเดอร์แลนด์ ที่สร้างความประทับใจในฤดูกาลแรกหลังกลับสู่ลีกสูงสุดเมืองผู้ดี
"เดอะ กันเนอร์ส" มีสถิติที่น่าประทับใจในการเล่นเกมลอนดอน ดาร์บี้ แต่สถิติเหล่านี้ถูกทดสอบอย่างแท้จริงในสัปดาห์ต่ ๆ ไป โดยเริ่มจากการทำศึกกับคู่อริร่วมเมืองหลวงรับมือ สเปอร์ส ในเกมนอร์ท ลอนดอน ดาร์บี้ หลังช่วงพักเบรกทีมชาติ
ก่อนที่ทีมของกุนซือมิเกล อาร์เตต้า จะปิดเดือนพฤศจิกายนด้วยการออกไปทำศึกลอนดอน ดาร์บี้ อีกครั้งเยือน เชลซี และเริ่มต้นเดือนธันวาคมด้วยการเล่นในบ้านพบ เบรนท์ฟอร์ด ทีมไม่ห้ามประมาทเด็ดขาด ไม่เชื่อว่า ลิเวอร์พูล ได้เลย !!
นอกจากเกมพรีเมียร์ลีก แล้ว อาร์เซน่อล ยังมีโปรแกรมแน่นในศึกคาราบาว คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ต้องดวลกับ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งอยู่ในช่วงกลางสัปดาห์ระหว่างเกมกับ สเปอร์ส แล ะเชลซี นั้นอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทัพ "ปืนใหญ่" ได้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้
5 เกมต่อไป : บอร์นมัธ (เหย้า), ลิเวอร์พูล (เหย้า), นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (เยือน), ลีดส์ ยูไนเต็ด (เหย้า), ฟูแล่ม (เยือน)
2 เกมต่อไปของ แมนฯ ซิตี้ ต้องเจอกับคู่แข่งลุ้นท็อปโฟร์ โดยปัจจุบัน บอร์นมัธ รั้งอันดับ 2 ในตารางลีก และนั่นทำให้ลูกทีมของกุนซือเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ต้องเตรียมพร้อมให้ดีที่สุดในการรับมือ "เดอะ เชอร์รี่ส์"
จากนั้นในวันที่ 9 พ.ย. พวกเขาต้องทำศึกใหญ่ในการพบกับ ลิเวอร์พูล ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม โดยทั้งสองทีมต้องการชัยชนะอย่างมาก เพื่อให้พวกเขากลับคืนสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์อีกครั้ง
การไปเยือน นิวคาสเซิลไม่เคยเป็นงานง่าย โดย อาร์เซน่อล ก็เพิ่งคว้าสามแต้มได้อย่างหวุดหวิดจากการบุกถิ่นเซนต์ เจมส์ พาร์ค ส่วนการพบ ลีดส์ ในบ้านและเยือน ฟูแล่ม ถือเป็น 2 เกมเบาๆ ของพวกเขา
นอกจากนี้ยังมีเกมฟุตบอลถ้วยที่ต้องเผชิญความท้าทายเช่นกัน โดย 2 แมตช์ในแชมเปี้ยนส์ ลีก เกมพบ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และดวล ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ซึ่งทั้งสองเกมเล่นในถิ่นเอติฮัด สเตเดี้ยม
ลิเวอร์พูล
5 เกมต่อไป : แอสตัน วิลล่า (เหย้า), แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (เยือน), น็อตติงแฮม ฟอเรสต์ (เหย้า), เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (เยือน), ซันเดอร์แลนด์ (เหย้า)
สถานการณ์ของ ลิเวอร์พูล อาจยากขึ้นก่อนที่จะง่ายขึ้น โดยคู่แข่งที่กำลังจะต้องดวลอย่าง แอสตัน วิลล่า บอกเลยว่าไม่ธรรมดา เพราะพวกเขาชนะมาแล้ว 4 เกมติดในลีก แถมเหยื่อรายล่าสุดก็คือ แมนฯ ซิตี้ ซึ่ง "หงส์แดง" ต้องไปเยือนก่อนพักเบรกทีมชาติ
ทีมของกุนซืออาร์เน่อ สล็อต ต้องพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดใน 2 เกมแรก และหลังจากนั้นสถานการณ์ของทีมอาจพลิกกลับมาสู่การลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้งใน 3 เกมต่อมา เพราะเจอคู่แข่งอย่าง ฟอเรสต์ กับ เวสต์แฮม ขณะที่ ซันเดอร์แลนด์ แม้จะฟอร์มน่าสนใจ แต่อาจจะผลงานแผ่วเมื่อมาเยือนแอนฟิลด์
อย่างไรก็ตามก่อนเกมเยือน แมนฯ ซิตี้ ทัพ "หงส์แดง" ต้องเจอกับโปรแกรมโหดพบ เรอัล มาดริด ในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาต้องใส่เต็มที่เพื่อคว้าชัยชนะให้ได้ นอกจากนี้ช่วงปลายเดือนพ.ย. ยังมีคิวปะทะ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ด้วย
✍️ 𝐓𝐎𝐌𝐌𝐘 𝐓𝐄𝐄