จากชนะ 5-1 สู่แพ้ 2-3 สุดท้าย ลิเวอร์พูล วนกลับมาเหมือนเดิม

จากชนะ 5-1 สู่แพ้ 2-3 สุดท้าย ลิเวอร์พูล วนกลับมาเหมือนเดิม
ถ้าคิดว่าชัยชนะเหนือ ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 5-1 เมื่อกลางสัปดาห์คือสัญญาณของการกลับมาบนเส้นทาง... มันเป็นความคิดที่ผิดอย่างสิ้นเชิง

ค่ำคืนที่กรุงลอนดอน กลายเป็นอีกหนึ่งฝันร้าย เมื่อ ลิเวอร์พูล ถูก เบรนท์ฟอร์ด สอนบทเรียนที่เจ็บปวด 

ความพ่ายแพ้นัดนี้ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนตารางคะแนน แต่คือการสะท้อนให้เห็นบาดแผลที่ยังไม่เคยสมานดีในยุคของเฮดโค้ชอาร์เน่อ

หลังผ่านไป 9 เกม ลิเวอร์พูล ตกมาอยู่ที่ 6 ของตาราง ตามหลังจ่าฝูงอาร์เซน่อล 4 คะแนน และอาจกลายเป็น 7 หาก "ปืนใหญ่" ชนะได้ในคืนนี้ 

เป็นสถานการณ์ที่บีบให้เราเริ่มตั้งคำถามว่า "นี่คือจุดจบของการป้องกันแชมป์หรือยัง?"

หากจะให้วาดภาพว่าประตูของ เบรนท์ฟอร์ด จะมาอย่างไร คำตอบคือ แบบนี้เป๊ะ ๆ 

ดานโก้ วาตตาร่า ยิงให้เจ้าบ้านนำตั้งแต่ 5 นาทีแรกจากลูกตั้งเตะ และนั่นคือการรวมทุกปัญหาที่หลอกหลอนลิเวอร์พูลตลอดซีซั่นนี้ไว้ในจังหวะเดียว

  • เสียประตูขึ้นนำก่อน
  • เสียตั้งแต่ต้นเกม
  • เสียจากลูกเซ็ตพีซอีกแล้ว

สิ่งที่ อาร์เน่อ พยายามแก้ตั้งแต่เปิดฤดูกาลกลับย้อนมาทำร้ายตัวเองอีกครั้ง ลูกทุ่มธรรมดากลายเป็นหายนะเมื่อ จอร์จี้ มามาร์ดัชวิลี่ ออกมาสกัดพลาดส่งบอลออกข้าง ก่อนที่ คอนเนอร์ แบรดลี่ย์ จะเก็บบอลไม่ได้ และจากลูกทุ่มนั้นเอง คริสตอฟเฟอร์ อาเยอร์ โหม่งชนะ อูโก้ เอกิติเก้ ก่อนโหม่งเช็ดให้ วาตตาร่า ซัดจ่อ ๆ 

จากนั้น ลิเวอร์พูล ยังคงเสียบอลและเสียลูกทุ่มในจุดเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่แนวรับกลางสนามไม่มีใครสามารถหยุดจังหวะสองได้เลย

...

ต้องยอมรับว่า คีธ แอนดรูว์ส วางหมากมาถูกทุกอย่าง เบรนท์ฟอร์ด เลือกเล่นบอลไดเร็คต์ ไม่เน้นต่อบอลหลายจังหวะในแดนกลาง แต่โยนยาวและแทงเร็วเพื่อใช้ความเร็วของแนวรุกโจมตีหลังบ้านหงส์แดงโดยตรง

เมื่อได้บอล พวกเขาเน้นไล่ประกบตัวต่อตัว ปิดช่องว่างกลางสนามจน ลิเวอร์พูล หายใจไม่ทั่วท้อง ใช้ระบบ 4-4-2 โดยให้ อิกอร์ ติอาโก้ กับ มิกเคล ดัมส์การ์ด ไล่กดดันคู่เซ็นเตอร์ ส่วน เควิน ชาเด้ และ วาตตาร่า ถอยต่ำมาช่วยแพ็คแดนกลาง

แผนนี้ได้ผลเกือบตลอดครึ่งแรก ลิเวอร์พูล พยายามแก้ด้วยการดันแบ็กสองข้างเติมสูงเพื่อฉีกบล็อก แต่ปัญหาคือแดนกลางยังเชื่อมกันไม่ติด การขึ้นเกมสะดุด ไม่สามารถจ่ายบอลทะลุเพรสได้อย่างต่อเนื่อง

แม้จะมีจังหวะใกล้เคียงจาก ฟลอเรียน เวียร์ตซ์ และ โม ซาลาห์ รวมถึงการสอดขึ้นของ มิลอส เคอร์เคซ และ แบรดลี่ย์ แต่ทั้งหมดก็ไม่เพียงพอกระทั่งถูกลงโทษอีกครั้งจากความผิดพลาดกลางสนาม

ดัมส์การ์ด ฉวยโอกาสวางบอลทะลุให้ ชาเด้ หลุดไปยิงอย่างง่ายจากมุมอับของ อิบราฮิม่า โกนาเต้ 

มันคือผลลัพธ์ของแท็กติกที่เตรียมมาละเอียดและเจาะจุดอ่อน ลิเวอร์พูล ได้เฉียบขาด

...

9 เกมผ่านไป แต่ภาพของทีมแชมป์เก่าไม่ลงเหลืออยู่เลย จากทีมที่เคยมั่นคงและเฉียบขาดเมื่อฤดูกาลก่อน ลิเวอร์พูล ปีนี้ดูหลวมเปื่อย ไม่มั่นใจ และไร้รูปทรง

พวกเขาต้องตกเป็นฝ่ายตามหลังถึง 6 เกมติดต่อกัน ปัญหาเรื่องการป้องกันลูกตั้งเตะยังเหมือนเดิม และแนวรุกที่เคยคมกลายเป็นไร้ความแน่นอน นี่คือสัญญาณอันตรายของทีมที่กำลังหลงทาง

สถานการณ์คล้ายกับตอนที่ แมนซิตี้ เคยฟอร์มรูดเมื่อซีซั่นก่อน แพ้ 6 จาก 9 เกมระหว่างเดือนตุลาคมถึงธันวาคม และสุดท้ายก็หลุดวงโคจรลุ้นแชมป์เร็ว

แม้ฤดูกาลจะเหลืออีกถึง 29 นัด แต่เมื่อเทียบกับ อาร์เซน่อล ลิเวอร์พูลดูห่างไกลจากคำว่าทีมลุ้นแชมป์ ทั้งในแง่ฟอร์ม ความมั่นใจ และโครงสร้างทีม

เมื่อถูกถามถึงการเสริมทัพกว่า 400 ล้านปอนด์ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา อาร์เน่อ ตอบตรงไปตรงมา

"มันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่เมื่อคุณเปลี่ยนทีมมาก ผลลัพธ์จะสะดุดบ้าง ผมไม่คิดว่ามันจะถึงขั้นแพ้ 4 นัดติดแบบนี้ แต่การเปลี่ยนผ่านย่อมมีทางขรุขระเสมอ"

หนึ่งในข่าวร้ายเพิ่มเติมคืออาการบาดเจ็บของ เคอร์ติส โจนส์ ที่ขอเปลี่ยนตัวออกเองช่วงครึ่งหลัง อาร์เน่อ เผยว่า "เขาเดินออกจากสนามได้เอง ถือเป็นสัญญาณดี แต่เรายังต้องรอดูผลตรวจอีกครั้ง"

โจนส์ อาจพลาดเกมคาราบาวคัพกับ คริสตัล พาเลซ และเกมพรีเมียร์ลีกเจอ แอสตัน วิลล่า สัปดาห์ถัดไป นับว่าเป็นการขาดหายที่น่าเสียดาย เพราะเขาคือหนึ่งในไม่กี่คนที่เล่นได้ดีในเกมนี้

ตามสถิติจาก FotMob โจนส์ ผ่านบอลสำเร็จ 72 จาก 74 ครั้ง (97%) และจ่ายทะลุเข้าพื้นที่สุดท้ายได้ถึง 11 ครั้ง พร้อมยังเป็นผู้เล่นที่เลี้ยงผ่านคู่แข่งมากที่สุดในสนาม

ในวันที่ทั้งทีมดูหลุดทิศ โจนส์กลับเป็นเพียงไม่กี่คนที่ยังแสดงความมั่นใจในบอลและจังหวะเล่น แต่โชคร้ายที่ต้องออกก่อนหมดเวลา

นี่ไม่ใช่แค่การแพ้เกมที่สี่ติดต่อกัน แต่คือคำเตือนถึงรากฐานของทีมที่เริ่มสั่นคลอน ทั้งในแง่แท็กติก สภาพจิตใจ และการปรับตัวของผู้เล่นใหม่

อาร์เน่อ รู้ดีว่าเขากำลังอยู่ในช่วงทดสอบครั้งใหญ่ที่สุดของอาชีพ จากโค้ชผู้ถูกยกย่องเรื่องความชัดเจนทางแท็กติก กลายเป็นชายที่ต้องหาคำตอบให้เร็วที่สุด ก่อนที่ฤดูกาลนี้จะหลุดมือไปตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งทาง

เพราะหากยังไม่รีบหาทางหยุดเลือด ลิเวอร์พูลอาจไม่ได้แค่เสียแชมป์ แต่จะกลายเป็นอดีตทีมแชมป์ที่จมหายไปกับความวุ่นวายของตัวเองตั้งแต่เดือนตุลาคม

#HOSSALONSO



ที่มาของภาพ : Gettyimages
BY : Hossalonso
ธีรศานต์ คงทอง
ติดตามช่องทางอื่นๆ:
Website : siamsport.co.th
Facebook : siamsport
Twitter : siamsport_news
Instagram : siamsport_news
Youtube official : siamsport
Line : @siamsport